โบลดกราม

รู้ไว้ก่อนตัดสินใจ รวม 6 ข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีดโบลดกราม

โครงหน้าคนไทยส่วนใหญ่มักจะมีกล้ามเนื้อบริเวณกรามค่อนข้างใหญ่ ทำให้หลายคนเลือกที่จะฉีดโบลดกราม ซึ่งปัญหากรามใหญ่เป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าใหญ่ หน้าบาน ไม่เรียวเล็ก เป็นปัจจัยที่ทำให้เรามองหาวิธีปรับรูปหน้าที่สามารถเนรมิตใบหน้าที่แบบตัวเองต้องการ แต่เนื่องจากหลายคนมักจะกลัวการผ่าตัดศัลยกรรม เพราะนอกจากจะเจ็บตัวแล้ว ยังเสียเวลาพักฟื้นอีก จึงไม่แปลกที่การฉีดโบท็อกจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่คนให้ความสนใจ

แต่หากใครที่ไม่เคยฉีดโบ แล้วยังมีข้อสงสัยไม่กล้าที่จะเข้ารับการรักษา ในวันนี้เราได้รวบรวมคำถามยอกฮิตที่เกี่ยวกับการฉีดโบลดกรามมาฝากทุกคนกันค่ะ เพื่อประกอบการตัดสินใจ วางแผนก่อนเข้ารับการรักษา และเลือกคลินิกได้อย่างมั่นใจเรื่องผลลัพธ์ไร้ผลข้างเคียงให้มากที่สุดค่ะ

คำถามที่ 1 หลังฉีดโบลดกราม ทำไมถึงยิ้มแข็ง?

ปัญหาหลักๆ ที่มักพบหลังฉีดโบลดกราม เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กคือ อาการตึงหน้า เวลายิ้มแล้วรู้สึกแข็งๆ ยิ่งไม่สุด ดูไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุนี้เกิดจากสารโบ หรือ Botulinum toxin แพร่กระจายโดนกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ดึงมุมปากในขณะที่เรายิ้ม หรือที่เรียกว่า Risorius นอกจากนั้นยังมีปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดปัญหายิ้มแข็ง ซึ่งได้แก่

  • ฉีดผิดตำแหน่ง ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดจากแพทย์ไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจจะฉีดโดนเข้ากับกล้ามเนื้อ Risorius ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดที่ต้องฉีดโบมากๆ ดังนั้น ความชำนาญและเทคนิคของแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราผู้เป็นคนเข้ารับบริการต้องพิจารณาทุกครั้ง
  • โบปลอม ไม่ผ่านการรับรอง และไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งสารเหล่านี้ไม่สามารถกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ การคาดเดาระยะการกระจายตัวของโบจึงทำได้ค่อนข้างยาก
  • กล้ามเนื้อ Risorius อยู่ต่ำกว่าปกติ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกๆ คน โดยสามารถพบได้ประมาณ 1 – 2% เพียงเท่านั้น
  • คนไข้มีกล้ามเนื้อกรามที่ใหญ่ จึงจำเป็นต้องใช้ในยูนิตที่เยอะขึ้น ซึ่งในส่วนนี้สามารถป้องกันได้ ด้วยการวางแผนการฉีด โดยแบ่งออกเป็น 2 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งควรฉีดห่างกันประมาณ 2 – 3 เดือน

ถึงอย่างไร อาการยิ้มแข็งสามารถหายได้เองภายใน 1 – 2 วันหากใช้โบแท้ และสามารถประคบเย็น ประคบร้อนบริเวณแก้มเพื่อบรรเทาอาการให้หายได้เร็วยิ่งขึ้นได้ค่ะ

คำถามที่ 2 ตรวจโบปลอมได้อย่างไร?

  • อันดับแรกควรศึกษาวิธีสังเกตโบแท้ก่อน เพื่อที่จะสามารถเช็คเบื้องต้นได้ว่าโบที่จะได้รับ เป็นของแท้หรือของปลอม
  • แพทย์ต้องเปิดกล่องใหม่ ขวดใหม่ทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะแพงหรือถูกแค่ไหนก็ตาม หรือหากใครไปกับเพื่อน อาจให้เพื่อนช่วยสังเกตให้ก็ได้ค่ะ
  • สังเกตสารตัวในขวด ซึ่งทุกๆ ยี่ห้อที่เป็นของแท้จะมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว แห้งๆ ไม่มีน้ำที่ก้นขวด คุณหมอจะใส่น้ำเกลือเพื่อละลายตัวยา เราสามารถแจ้งให้คุณหมอผสมตัวยาให้ดูได้เพื่อความมั่นใจค่ะ
  • ในบางคลินิกอาจอ้างว่าไม่สามารถผสมตัวยาให้เราดูได้ เพื่อป้องกันสูตรยา หรือป้องกันการติดเชื้อระหว่างผสม อาจเป็นช่องทางการแอบใส่ยาปลอมลงไปผสมในขวดได้
  • สามารถขอกล่องและขวดหลังฉีด หรือถ่ายรูปเพื่อนำไปตรวจสอบต่อที่บ้านได้ เพื่อความมั่นใจยิ่งขึ้นค่ะ

คำถามที่ 3 จริงหรือไม่ ฉีดโบรักษากรามกับใครก็ได้?

สำหรับคนที่ไม่ระมัดระวัง จนเผลอไปฉีดโบกับคนที่ไม่ใช่แพทย์ อย่างพยาบาล หรือหมอกระเป๋าที่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจ หรือเทคนิคเกี่ยวกับการฉีดโบ มีความเสี่ยงที่จะเจอโบท็อกปลอม ซึ่งผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตรายมากๆ ดังต่อไปนี้

  • อาจมีอาการปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด ยิ้มแข็ง
  • หลังฉีด แก้มหน้าห้อย ย้อยลงมา แม้ว่ากรามจะลดลง แต่แก้มอาจเกิดการยุบตัว และกลายเป็นปัญหาแก้มตอบตามมาได้
  • มีความเสี่ยงที่จะมีอาการดื้อยาไปตลอดชีวิตได้ แม้การฉีดโบปลอม ยาหิ้วในช่วงแรกๆ อาจเห็นผล แต่การฉีดครั้งถัดไปอาจมีอาการดื้อยาขึ้นได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีและอันตรายสูง เนื่องจากตัวยาไม่ถูกกฎหมาย และไม่ได้ผ่านการรับรองค่ะ

คำถามที่ 4 ฉีดโบใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะเห็นผล

การฉีดโบเพื่อปรับรูปหน้าให้เรียว กรามจะยุบลงประมาณ 10% ซึ่งสามารถเห็นผลได้ภายใน 2 สัปดาห์ และเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน กรามยุบตัวเต็มที่ในช่วง 2 เดือนหลังทำการฉีด ดังนั้น สำหรับใครที่มีชอบความรวดเร็ว หรือจำเป็นต้องออกงานไม่ต้องกังวลเลยค่ะ และถ้าอยากให้กรามคมขึ้นสามารถทำการฉีดโบลิฟหน้าเพิ่มได้ เพื่อความสวยคมที่มากยิ่งขึ้นค่ะ

คำถามที่ 5 ทำไมฉีดโบแล้วเหนียงเยอะ

หลังฉีดโบลดกรามแล้ว กรามยุบ แต่หนังหย่อนลง เป็นสาเหตุทำให้หนังคอดูเป็นชั้นๆ สาเหตุนี้อาจเป็นเพราะคนไข้มีเหนียงด้านข้างมาก เนื่องจากเป็นต่อมน้ำลาย ซึ่งแพทย์จะใช้การฉีดโบแก้ไขปัญหาตรงส่วนนี้ แต่มีข้อเสียอยู่ที่อาจทำให้มีอาการคอแห้งได้

ฉีดโบลดกราม

คำถามที่ 6 ของอเมริกา หรือ ของเกาหลีดี?

  • ของอเมริกา มีความเสี่ยงทำให้เกิดดื้อยาได้น้อยกว่า ของเกาหลีเนื่องจากมีความบริสุทธิ์มากกว่า
  • ของอเมริกามีความแม่นยำมากกว่า เพราะสามารถกระจายตัวยาได้แคบมากกว่า
  • ของอเมริกาสามารถอยู่ได้นานกว่าของเกาหลีประมาณ 10 – 20%
  • ควรเลือกของอเมริกาซึ่งเป็นสารที่ดีที่สุด แต่ของเกาหลีจะมีราคาที่ถูกกว่า 2 เท่า แต่ทั้งสองตัวสามารถช่วยลดกล้ามเนื้อบริเวณกรามได้ทั้งคู่ และมีความปลอดภัยหากผ่านการรับรองจาก อย. ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองว่าต้องการฉีดโบแบบใด

สรุป ไม่ได้มีเพียงแค่การฉีดโบลดกรามเท่านั้นที่สามารถปรับรูปหน้าให้สวยอย่างที่ต้องการได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวิธีการฉีดโบเป็นตัวเลือกที่เรียบง่าย และสะดวกมากจริงๆ แถมยังสามารถเห็นผลได้รวดเร็ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องคำนึงถึงคือความปลอดภัย โดยใช้วิธีการสังเกต และศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน ทั้งสถานให้บริการ แพทย์ และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ หวังว่าคำตอบที่เรานำมาคลายข้อสงสัยจะช่วยให้หลายๆ คนสามารตัดสินใจและวางแผนก่อนเข้ารับการฉีดโบได้นะคะ