โบท็อก
โบท็อก botox คืออะไร?

โบท็อก (Botox) คืออะไร ฉีด Botox ดีไหม? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง

หากพูดถึงวิธีที่จะช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวได้ทั้งใจด้วย “โบท็อก” เพราะนอกจากจะมีผลรีวิวรับรองมากมายว่า การฉีดโบท็อกยังสามารถช่วยปรับรูปหน้าได้จริง และยังมีความปลอดภัยสูง


 

สารบัญบทความ

 


โบท็อก (Botox) คืออะไร

โบท็อก คือ

โบท็อก (Botox) เป็นนวัตกรรมที่นิยมใช้สำหรับลดริ้วรอย ยกกระชับหน้า และลำคอ รวมถึงลดขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้วโบท็อก botoxคือชื่อทางการแพทย์ เรียกว่า “Botulinum Toxin A” เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่สร้างจากแบคทีเรียชื่อ Clostridium ออกฤทธิ์โดยไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท (Neurotoxin) “การฉีดโบท็อก” จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น และปรับรูปหน้า ที่ได้ผลชัดเจน ที่สำคัญใช้เวลาไม่นาน


โบท็อกช่วยเรื่องอะไรบ้าง

โบท็อก ยกกระชับ

โบท็อกสามารถนำมาฉีดในกล้ามเนื้อได้หลายจุด แต่บริเวณที่คนนิยมฉีด botox คือใบหน้า ทั้งฉีดเพื่อลดริ้วรอย ลดกราม ปรับรูปหน้า และที่สำคัญยังสามารถลดกลิ่นกายได้อีกด้วย สำหรับคนที่สงสัยว่าโบท็อกฉีดตรงไหนได้บ้าง เรารวบรวมจุดต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมไว้ดังนี้

ลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง

    • ลดขนาดกรามให้ใบหน้าดูเรียวเล็กขึ้น

    • ลดขนาดน่องให้ขาเรียวยาวสวย

    • ลดขนาดปีกจมูกให้เล็กลงเห็นสันแกนจมูกชัดเจนขึ้น (การฉีดโบท็อกปีกจมูก ช่วยแก้ปัญหาปีกจมูกบาน ปีกจมูกใหญ่ ได้ดีมาก)

คลายขนาดกล้ามเนื้อที่หดตัวให้เรียบตึงขึ้น

    • รอยย่นบริเวณหน้าผาก ตีนกา หางตา ระหว่างคิ้ว

    • ผิวหนังบริเวณคอ มือ ที่เหี่ยวย่น โบท็อกซ์ช่วยให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียนและดูเด็กขึ้น

ลิฟกรอบหน้า

โบท็อก ลดริ้วรอย

    • ยกกระชับใบหน้า ไม่ให้หย่อนคล้อย

    • ช่วยให้กรอบหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น

ฉีดใต้วงแขน รักแร้

    • ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกน้อยลง

    • ฉีดโบท็อกลดเหงื่อช่วยระงับกลิ่นกายได้ด้วย

    • รักษาโรคไมเกรนเรื้อรัง

    • ระงับอาการปวดให้น้อยลง

    • ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการผ่อนคลาย

ฉีดโบท็อกลดรูขุมขน

    • ทำให้ผิวกระชับ หน้ามันลดลง รูขุมขนดูตื้นขึ้น

รักษาอาการตากระตุก

    • ทำให้กล้ามเนื้อหยุดทำงานชั่วขณะ ช่วยลดอาการตากระตุกได้


หลักการทำงานของโบท็อก

หลักการทำงานของตัวยาโบท็อกนั้น เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อจะแยกเป็น 2 ส่วน ดังนี้

1.ส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์ประสาท

เป็นส่วนที่จะออกฤทธิ์และถ้าส่วนนี้มีความเข้มข้นสูงก็จะทำให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้นครับ การทำงานของโบท็อกจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น ไม่เกิดรอยพับ

2.ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึม

ส่วนนี้จะเป็นการดูดซึมกระแสเลือดโดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ชม. หลังฉีด และถูกขับออกไปโดยไม่ส่งผลต่อเซลล์อื่นในร่างกายค่ะ

หลังจากนั้นตัวยาโบท็อกก็จะค่อย ๆ ออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อจนเห็นผลชัดเจน และสลายไปเอง และไม่มีสารตกค้าง ตามระยะเวลาของโบท็อกยี่ห้อนั้น ๆ ที่แตกต่างกัยออกไป ซึ่งโบท็อกซ์มีหลายยี่ห้อจากหลายประเทศ โดยมียี่ห้อของโบท็อกที่เป็นที่นิยมในไทย ได้แก่

โบท็อกเกาหลี

    • Nabota

    • Aestox

โบท็อกอเมริกา

    • Allergan

โบท็อกอังกฤษ

    • Dysport

โบท็อกเยอรมัน

    • Xeomin

ซึ่งโบท็อกของแต่ละยี่ห้อแต่ละประเภทจะมีระยะเวลาอยู่ได้นานไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ กรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์, ชนิด protein complex หรือขนาดของ molecule complex ตัวที่จะส่งผลให้โบท็อกแตกต่างกันมากที่สุดคือ ขนาดของ molecule complex size

เนื่องจากขนาดของโมเลกุลจะมีผลต่อการกระจายตัวยา ถ้าออกแบบให้กระจายตัวแคบผลการฉีดก็จะแม่นยำตรงจุด ถ้าออกแบบให้กระจายตัวกว้างก็เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลรวดเร็วและใช้ฉีดโบท็อกในบริเวณกว้างเช่นน่องค่ะ


โบท็อกเหมาะกับใครบ้าง?

ปัจจุบันโบท็อกมีหลากหลายแบรนด์จากหลายประเทศที่ได้มาตรฐานอย.ไทย ตอนนี้มีทั้งหมด 8 ยี่ห้อโบท็อกที่ผ่านอย.ไทย ซึ่งในแต่ละแบรนด์จะมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันไป ส่งผลให้คุณสมบัติและจุดเด่นของแต่ละแบรนด์ต่างกัน โดยมีแบรนด์ยอดนิยมดังนี้

Nabota

โบท็อก Nabota จากประเทศเกาหลี ได้รับ อย.จากอเมริกา (US FDA) มีค่าความบริสุทธิ์ของตัวยาอยู่ที่ 98.7% เป็นแบรนด์ของเกาหลีที่เห็นผลลัพธ์ได้เร็ว กรามและริ้วรอยลดลงได้ไว เหมาะกับงานเร่ง งานด่วน

Aestox

Aestox botox เป็นโบท็อกจากประเทศเกาหลีเช่นเดียวกัน จุดเด่นของยี่ห้อนี้ คือผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นธรรมชาติเมื่อเทียบกับในกลุ่มโบท็อกซ์จากประเทศเกาหลี เหมาะสำหรับการใช้ปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย

Allergan

Allergan botox จากประเทศอเมริกา เป็นแบรนด์แรกที่ได้รับการรับรองจากอย. อเมริกา (US FDA) และอย. ไทย ซึ่งตัวยามีความบริสุทธิ์มากที่สุด จุดเด่นคือออกฤทธิ์ได้แม่นยำ อยู่ได้นาน เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ลดกรามปรับรูปหน้าเรียว กรอบหน้าคมชัดขึ้น

Dysport

Dysport เป็นโบท็อกจากประเทศอังกฤษ มียูนิตที่เฉพาะของตัวเอง จุดเด่นคือมีการกระจายของตัวยาที่กว้างไม่กระจุกเป็นจุดแคบๆ จึงเหมาะกับการฉีดลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ลดกราม ลดต้นแขน ลดน่อง และฉีดยกกระชับ

Xeomin

Xeomin มีจุดเด่นของโบท็อกยี่ห้อนี้คือ ไม่มีการปนเปื้อนของคอมเพล็กซิ่งโปรตีน (Pure toxin) ทำให้เหลือแต่ Botulinum Toxin A มีความบริสุทธิ์ 100% ฉีดแล้วจึงดูเป็นธรรมชาติ จึงเหมาะกับการฉีดลดริ้วรอย รวมถึงยกกระชับกรอบหน้า และยังเหมาะสำหรับใช้ในเคสที่มีอาการดื้อยาที่หยุดการฉีดไปแล้ว 2-3 ปีอีกด้วย


บริเวณที่นิยมฉีดโบท็อก

บริเวณที่นิยมฉีดโบท็อก

โบท็อกสามารถนำมาฉีดแก้ไขปัญหาได้บริเวณดังต่อไปนี้ โดยมีบริเวณที่นิยมฉีดและมีจำนวนยูนิตที่ใช้จะปรับตามปัญหาของคนไข้แต่ละบุคคล โดยต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง แต่โดยปกติแล้วจะใช้ปริมาณของโบท็อก แต่ละจุดดังนี้

    • โบท็อกหน้าผาก ใช้ประมาณ 15-20 ยูนิต

    • โบท็อกระหว่างคิ้ว ใช้ประมาณ 6-15 ยูนิต

    • โบท็อกหางตา ใช้ประมาณ 15-20 ยูนิต

    • โบท็อกสันจมูก ใช้ประมาณ 4-6 ยูนิต

    • โบท็อกปีกจมูก ใช้ประมาณ 15-20 ยูนิต

    • โบท็อกลิฟเหนียง ใช้ประมาณ 30-50 ยูนิต

    • โบท็อกลิฟคอ ใช้ประมาณ 30-50 ยูนิต

    • โบท็อกรักแร้ ใช้ประมาณ 80-100 ยูนิต

    • โบท็อกน่อง ใช้ประมาณ 100-200 ยูนิต


โบท็อก แต่ละแบรนด์แตกต่างกันอย่างไร

โบท็อก แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นแตกต่างกัน และส่งผลต่อความคงทนในการเก็บรักษาขึ้นอยู่กรรมวิธีการบริสุทธิ์ ดังนี้

โบท็อกอเมริกา (Allergan)

โบท็อก Allergan จากประเทศอเมริกา ถือว่าเป็น Original ของโบท็อกทั้งหมด ซึ่งข้อดีของโบท็อกยี่ห้อนี้ คือจะมีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5%ซึ่งโบท็อกที่มีความบริสุทธิ์มากจะทำให้เสี่ยงต่อการดื้อยาน้อยลงอีกทั้งยังมีการกระจายตัวของยาที่แคบทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบท็อกได้อย่างแม่นยำมีอายุการใช้งานนานกว่าโบท็อกเกาหลีธรรมดาประมาณ 20% อีกด้วย

โบท็อกอังกฤษ (Dysport)

Dysport เป็นโบท็อกสัญชาติอังกฤษที่ถูกนิยมใช้ในกลุ่มคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาลดริ้วรอยและโครงหน้าซึ่งข้อดีของโบท็อกยี่ห้อนี้ คือตัวยามีโมเลกุลเล็กกว่าโบท็อกอเมริกาและโบท็อกเกาหลี ทำให้กระจายตัวได้ดีกว่า

โบท็อกเกาหลี (Nabota/Botulax)

โบท็อกเกาหลี ถือว่ายี่ห้อโบท็อกที่ถูกนิยมมากที่สุดในประเทศไทยจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก Neuronox, Botulax, Aestox, Nabota จากประเทศเกาหลีที่ราคาไม่แพง ออกฤทธิ์ไวแต่มีระยะเวลาอยู่ได้สั้นกว่าโบท็อกสัญชาติอเมริกา ซึ่งมีฤทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 6 เดือน (ขึ้นอยู่กับการบำรุงเฉพาะะบุคคล)

โบท็อกเยอรมัน (Xeomin)

Xeomin จากประเทศเยอรมัน เป็นโบท็อกที่มีความบริสุทธ์ 100%ซึ่งเป็นตัวยาที่โมเลกุลขนาดเล็กที่สุดมีการกระจายตัวได้ดี อีกทั้งตัวยายังออกฤทธิ์ลดริ้วรอยได้นานกว่าสามารถฉีดซ้ำต่อเนื่องยาวนานได้ โดยไม่ทำให้มีการดื้อต่อโบท็อกตามมาในอนาคต


โบท็อก อันตรายไหม? มีผลข้างเคียงหรือไม่?

จากการรวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดโบท็อกจำนวนมาก ในไทยและต่างประเทศนั้น พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ส่วนมากมักจะเป็นอาการ หนังตาตก หน้าไม่สมมาตร หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง


ฉีดโบท็อกดีไหม?

สำหรับผู้ที่ลังเลว่าจะฉีดโบท็อกยี่ห้อไหนดี เราบอกเลยค่ะว่าดี! และจะดีมาก กับผู้ที่กำลังมองหาตัวช่วยในการลดริ้วรอย ลดกราม ปรับหน้าเรียว เพราะว่าการฉีดโบท็อกถือว่าเป็นการรักษาที่ตรงจุด เห็นผลไว และราคาไม่แพงด้วยค่ะด้วย


ฉีดโบท็อกที่ไหนดี?

โบท็อก ที่ไหนดี

ถ้าถามว่าฉีดโบท็อกดีไหม? แล้วโบท็อกแบบไหนใช่สำหรับคุณระหว่างโบท็อกสายฝอ หรือโบท็อกสายเกา มีวิธีเลือกดังนี้ค่ะ หลักการเลือกโบท็อก หากเป็นคนไข้ที่ต้องการฉีดโบทอกซ์นานๆ ไม่อยากมีปัญหาดื้อยาในอนาคต ตัวเลือกแรกที่ควรเลือกคือ Xeomin ที่แม้ฉีดไปอีกกี่ปีก็ยังสามารถฉีดได้เรื่อยๆ แต่ถ้าอยากลดริ้วรอยแบบราคาถูกลงมาหน่อยแต่ยังปลอดภัย ก็อาจจะหันมามอง Nabota โบที่บริสุทธิ์ที่สุดในสายเกาแทน ทั้งนี้ทั้งนั้นโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อก็มีคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่ควรฉีกของแท้เท่านั้นนะคะ

ดังนั้นอย่าลืมสังเกตให้รอบคอบว่าโบท็อกซ์ที่เราฉีดเป็นของแท้รึเปล่า เพราะไม่ว่ายี่ห้อใด ๆ ก็ย่อมดีกว่าโบปลอมที่แฝงมาในรูปโบหิ้วแน่นอนค่ะ นอกจากนี้ก็ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน สามารถให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล และให้การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ที่รมย์รวินท์ คลินิก เราเป็นคลินิกเสริมความงามและรักษาผิวหนังชั้นนำของประเทศ


โบท็อกราคาแพงไหม?

ราคาโบท็อกแต่ละจุดจะใช้ปริมาณการฉีดที่แตกต่างกันที่ยูนิต โดยปกติแล้วจะใช้ฉีดในจุดที่ไม่กว้างมาก เช่น ริ้วรอยระหว่างคิ้ว ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ริ้วรอยหางตา โบท็อกปีกจมูก ลิฟกรอบหน้า เป็นการฉีดแบบเฉพาะจุด ซึ่งโบท็อก ราคาจะแตกต่างกันตามยี่ห้อ ปริมาณยูนิต และจุดที่ฉีดค่ะ


ข้อควรรู้ก่อนฉีดโบท็อก

ข้อควรระวังในการฉีดโบท็อก สำหรับคนที่กำลังจะตัดสินใจฉีดโบท็อกครั้งแรก และการเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกมีดังนี้

ก่อน ฉีด Botox

    • หยุดใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA, สครับหน้า, ขัดหน้า เป็นเวลา 1-2 วันก่อนการฉีดโบท็อก

    • หยุดการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินอี น้ำมันปลา จิงโกะ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อลดอาการเกิดรอยฟกช้ำ

    • งดแอลกอฮอลล์ 24 ชั่วโมง ก่อนการรักษา

    • ถ้ามีประวัติของโรคเริมบริเวณฝีปาก ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับการรักษา


ขั้นตอนการฉีดโบท็อก

ขั้นตอนในการฉีดโบท็อกแต่ละครั้งไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย แค่ไม่กี่ Step ทำให้คุณสวยเป๊ะทุกมุมแล้ว

    1. พบแพทย์เพื่อปรึกษาประเมินรูปหน้า สภาพผิว ปัญหาที่กังวล

    1. เลือกยี่ห้อของโบท็อกที่จะใช้ เพื่อให้เหมาะกับปัญหาและจุดที่ฉีด

    1. ผู้ช่วยคุณแพทย์จะเคลียร์ใบหน้าหรือบริเวณที่ฉีดให้สะอาด เพื่อให้แพทย์ตรวจสอบความพร้อมของผิวอีกครั้ง รวมถึงการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่จะใช้ฉีด

    1. แพทย์จะทายาชาทั่วบริเวณที่ต้องการฉีด เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บระหว่างฉีด

เมื่อยาชาออกฤทธิ์คุณหมอจะเริ่มการฉีดโบท็อกซ์ เข้าไปในปริมาณที่เหมาะสมกับบริเวณนั้นๆ ซึ่งเวลาในการฉีดจะอยู่ที่ประมาณ 10-20 นาที


ข้อปฏิบัติหลังฉีดโบท็อก

สำหรับการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานของตัวยาที่ดีที่สุด ควรปฏิบัติดังนี้

    • อย่านวด กดทับบริเวณที่รักษา เช่น สวมหมวก สวมหมวกกันน็อค หรือ นวดหน้า

    • อย่านอนราบหรือก้มหน้าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง

    • งดการอยู่ในที่ร้อนเช่น อบซาวน่า ปรุงอาหารหน้าเตาร้อน เป็นเวลา 4 ชั่วโมง

    • รอยนูนจากการฉีดจะหายไปเองภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง

    • งดเว้นการออกกำลังกายอย่างหนักหรือการเล่นโยคะเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังการรักษา

    • งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังการรักษา

    • พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ยากระจายตัวเข้ากล้ามเนื้อได้มากขึ้น

    • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้

    • สามารถใช้เครื่องสำอางได้หลังการรักษาด้วยความนุ่มนวลหลีกเลี่ยงการกดถู

    • ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาใน 2-7 วัน และเห็นผลการรักษาสูงสุดใน 2 สัปดาห์

    • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

ทั้งนี้แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินการรักษา และข้อสำคัญควรเลือกใช้บริการกับ คลินิกโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ และทำการรักษากับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น รมย์รวินท์ คลินิกมีการ รักษาผิวหน้าเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ทำให้ผิวหน้ากลับมาเต่งตึงอีกครั้ง


 

รีวิวการทำโบท็อก

ด้วยอาชีพนักแสดงของมิวที่ต้องใช้หน้าตา และใบหน้าในการทำงาน ปัญหาริ้วรอยต่างๆ ไม่ว่าจะแค่ขมวดคิ้วก็มีรอยย่น ยิ้มทีตีนกาก็มา วันนี้เลยตัดสินใจเข้ามาปรึกษาคุณหมอที่ Romrawin Clinic เพื่อมาบอกลาปัญหาริ้วรอย ทวงคืนความสดใส ให้ผิวหน้าดูอ่อนกว่าวัย

บอกตรงๆ โปรแกรม Botox ที่ Romrawin Clinic ทำให้มิวแฮปปี้มาก เพราะคุณหมอมือเบามาก หลังทำรู้สึกว่าผิวเรียบเนียบขึ้น รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยลดลง กรอบหน้ายกคมชัดขึ้น แบบว่าปังไม่ไหว สำหรับสาวๆ คนไหนที่มีปัญหาแบบคุณมิวสามารถเข้ามาปรึกษาคุณหมอที่ Romrawin Clinic ได้เลยค่ะ

 


วิธีสังเกตโบท็อกแท้ ไม่ให้โดนของปลอมราคาถูก

แม้ว่าประสิทธิภาพของตัวยาโบท็อกแต่ละยี่ห้อจะมีความรวดเร็วและคงสภาพที่แตกต่างกันไปแต่หากเป็นโบท็อกปลอมแม้จะมีราคาที่ถูกกว่าของแท้แต่ก็เสื่อมคุณภาพไวกว่าเช่นกัน เพราะโบท็อกซ์ปลอมทิ้งสารตกค้างเอาไว้ในร่างกาย ซึ่ง Botox ทุกยี่ห้อเช็กเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ดังนี้

 

    • ตัวกล่องยังถูกปิดสนิทและมีแผ่นพลาสติกซีลป้องกันการเปิดบริเวณปากกล่อง

    • ตรวจสอบปริมาณยูนิตของผลิตภัณฑ์ว่าตรงกับที่แจ้งเอาไว้บนเว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิตหรือไม่ เช่น Allergan Botox จะมีแต่ปริมาณ 100 ยูนิตต่อขวดเท่านั้น

ซึ่งผู้ใช้บริการควรระมัดระวังคลินิกที่ให้บริการฉีดยูนิตไม่เกิน 50 หรือ 100 ยูนิตเพราะผู้ใช้บริการจะไม่ได้เห็นกระบวนการในการเปิดกล่องจึงไม่สามารถตรวจสอบของแท้/ปลอมได้ ตรวจสอบเลข Lot การผลิตว่าบนกล่องและบนขวดยาตรงกัน


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดโบท็อก

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดโบท็อก

รวมทุกคำถามที่คุณสงสัยเกี่ยวกับการฉีดโบท็อก ที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก

1. ฉีดโบท็อกจะเห็นผลเมื่อไหร่ กี่วันเห็นผล?

ปกติแล้วหลังฉีดโบท็อกริ้วรอยจะเริ่มตึง ขึ้นภายใน 3-4 วันแล้วจะเริ่มตึงเต็มที่ใช้เวลา 14 วันค่ะ

ส่วนโบท็อกกรามจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ และจะเริ่มกัดฟันแล้วนิ่มลง พอ 2 อาทิตย์ กัดฟันแล้วนิ่มไม่เป็นก้อน และกรามจะยุบเต็มที่ใช้เวลา 2-3 เดือนค่ะ

2. ฉีดโบท็อกหน้าเรียวจริงไหม?

จริงค่ะ เพราะโบท็อกสามารถช่วยลดขนาดกรามได้ โดยการทำงานของโบท็อก ทำให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ ส่งผลให้กล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กลง และทำให้หน้าดูเรียวเล็กตามไปด้วย

3. ฉีดโบท็อกเจ็บไหม?

สำหรับการฉีดโบท็อกนั้นไม่เจ็บค่ะ เนื่องจากการฉีดโบท็อก เป็นหัตถการที่ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดลงในชั้นผิวที่ไม่ลึกมาก ซึ่งจากข้อมูลของคนไข้ที่เข้ามาฉีดโบท็อกบอกว่าเจ็บน้อยกว่าการกดสิว ก่อนฉีดมีการแปะยาชา และระหว่างฉีดจะมีการประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม จึงไม่ต้องกังวลค่ะ

4. อายุเท่าไหร่จึงควรฉีดโบท็อก?

จริงๆ แล้วการฉีดโบท็อกสามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยวัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะฉีดเพื่อลดกรามและปรับรูปหน้า แต่สำหรับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดเลือนริ้วรอยจะนิยมเริ่มฉีดในกลุ่มคนวัย 30 ปีขึ้นไป

5. ฉีดโบท็อกต้องฉีดซ้ำไหม อยู่ได้นานเท่าไร?

การฉีดโบท็อกอย่างต่อเนื่องนั้น จะช่วยทำให้การฉีดโบท็อกครั้งต่อไปอยู่ได้นานกว่าเดิมค่ะ เพราะกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานต่อเนื่องนานๆ เมื่อเวลาผ่านไปขนาดกล้ามเนื้อจะเล็กลง และกลับมาทำงานได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น

6. ฉีดโบท็อกมาแล้วหน้าบวม เกิดจากอะไร?

ถ้าหลังฉีดโบท็อก 2-3 วัน ยังรู้สึกปวด สัมผัสบริเวณรอยเข็มแล้วเจ็บ มีอาการอักเสบและบวมแดงบริเวณที่ฉีดมากขึ้นผิดปกติ ควรรีบกลับไปพบแพทย์เพื่อประเมินและรักษาตามอาการค่ะ เพราะกรณีนี้มักเกิดจากคนไข้เลือกฉีดโบท็อกกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาดมากพอ ไม่มีระบบการดูแลความสะอาดปลอดเชื้อ

7. ฉีดโบท็อกแล้วเป็นก้อนทำอย่างไรดี?

หากหลังจากฉีดโบท็อกแล้วสัมผัสเป็นก้อนแข็งๆ ไตๆ ให้รีบพบแพทย์ทันที เพราะเกิดจากการมีภาวะแพ้โบท็อก เป็นโรคเลือดหยุดไหลยาก หรือใช้โบท็อกปลอม ไม่ได้มาตรฐาน หรือโบท็อกที่ไม่ผ่าน อย. ทำให้สารที่ฉีดเข้าไปอาจตกค้างอยู่ในร่างกายและเป็นอันตราย


โปรโมชันโบท็อกกับรมย์รวิน

โปรโมชันฉีดโบท็อกลดรูขุมขน ด้วยโปรแกรม Bo-Ac Clear Skin ช่วยเคลีย์สิว จัดการรอยดำ คุมมัน แบบบุฟเฟ่ต์ เพียบ 2,900 บาท!! ที่ทั้งเจ็บน้อย เห็นผลไว หลังเข้ารับการรักษาด้วยโปรแกรม Bo-Ac Clear Skin จะเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของผิว ผิวกระชับ รูขุมขนดูตื้นขึ้น หน้ามันลดลง โดยอาจเห็นผลเต็มที่หลังทำประมาณ 1 สัปดาห์ที่ทำ และผลลัพธ์จะยังคงอยู่ประมาณ 4-6 เดือน


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือปรึกษาปัญหากับแพทย์
ได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้
แชร์บทความนี้

Related Posts