สิว
สิวอักเสบ

สิวอักเสบ เกิดจากอะไร มีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไรให้เห็นผล

หนึ่งในปัญหากวนใจใครหลายคนคือ “สิวอักเสบ” ที่เป็นตัวร้ายทำลายความมั่นใจและส่งผลให้ผิวมีร่องรอยอันไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจมีคำถามต่อว่าสิวอักเสบเกิดจากอะไร ทำไมสิวจึงเกิดการอักเสบ มีความอันตรายหรือไม่? 

ในบทความนี้ ทางคลินิกรมย์รวินท์ได้รวบรวมข้อมูลน่าสนใจและควรรู้เกี่ยวกับสิวอักเสบ เช่น สิวอักเสบคืออะไร? วิธีรักษาสิวอักเสบมีอะไรบ้าง? รวมถึงคำถามที่พบบ่อยต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถตอบปัญหาที่ทุกคนสงสัยได้ค่ะ



สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คืออะไร 

สิวอักเสบคืออะไร

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) หรือเรียกหนึ่งอีกชื่อว่า Papulopustular acne คือสิวที่เกิดการอักเสบจากสิ่งกระตุ้น เช่น เชื้อแบคทีเรีย, ฮอร์โมน, การใช้ยา, อาหาร หรือพันธุกรรม เป็นต้น เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บผิวบริเวณนั้น ๆ โดยลักษณะของสิวอักเสบสามารถแบ่งออกเบื้องต้นตามข้อเหล่านี้

  • ตุ่มนูนสีแดงขนาดเล็ก 
  • ตุ่มหนอง 
  • สิวบวมแดงขนาดใหญ่
  • สิวซีสต์
  • สิวหัวช้าง

สิวอักเสบเกิดจากสาเหตุใด

สิวอักเสบเกิดจากอะไร? สาเหตุที่ทำให้สิวเกิดการอักเสบมีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าและสิ่งกระตุ้น โดยมีสาเหตุเบื้องต้นดังต่อไปนี้

  • เชื้อแบคทีเรีย
    สาเหตุหลักในการเกิดสิวอักเสบมาจากเชื้อแบคทีเรีย C.acnes (Cutibacterium acnes) หรือชื่อเก่าคือ Propionibacterium acnes ที่สามารถพบได้ตามปกติบนผิวหนังคนเรา ซึ่งแบคทีเรียตัวนี้จะทำให้เกิดการผลิตไขมัน หากมีมากจนเกินไปก็จะส่งผลให้ต่อมไขมันอุดตันและเกิดสิวอักเสบ
  • ฮอร์โมน
    ฮอร์โมนเพศชาย (Androgens) เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ เป็นปัจจัยที่เกิดจากสารในร่างกาย โดยฮอร์โมนนี้จะทำให้เกิดความมันบนใบหน้า ส่งผลให้สิวไม่มีหัวหรือสิวอุดตันอักเสบได้
  • อาหาร
    อาหารบางชนิดมีส่วนที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ พฤติกรรมการกินอาหาร เช่น อาหารมัน, น้ำตาล, ขนมหวาน หรือผลิตภัณฑ์จากนมวัวนั้น เป็นอาหารของแบคทีเรีย สร้างน้ำมันส่วนเกินบนผิว ทำให้สิวอักเสบ
  • การใช้ยา
    การใช้ยาบางชนิดที่มีสารกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นเห่อและบวมแดงได้ โดยสารเหล่านั้นได้แก่ Anabolic Steroids, Corticosteroids, Vitamin B6 และ Vitamin B12 เป็นต้น
  • การแกะหรือบีบสิวอักเสบ
    ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการอักเสบของผิวหลัก ๆ คือการแกะ เกา หรือบีบสิว ซึ่งอาจเกิดการบีบสิวแล้วบวม ซึ่งถือเป็นการทำร้ายผิวโดยตรงอีกด้วย

บริเวณที่มักเกิดสิวอักเสบ 

สิวอักเสบเกิดที่ไหน

สิวอักเสบเป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน (follicles) และต่อมไขมัน (sebaceous gland) ซึ่งพบได้ทั่วผิวหนังมนุษย์ ดังนั้นสิวอักเสบจึงสามารถเกิดขึ้นได้ทุกจุด ไม่ใช่แค่บริเวณใบหน้า โดยอาจเกิดขึ้นบริเวณเหล่านี้

  • สิวอักเสบบนใบหน้า
    • สิวอักเสบที่หน้าผาก
    • สิวอักเสบหน้าแก้ม
    • สิวอักเสบที่คาง
  • สิวอักเสบบริเวณคอ
  • สิวอักเสบบนเนินอก
  • สิวอักเสบที่หลัง

4 รูปแบบของสิวอักเสบ 

ประเภทสิวอักเสบ

สิวอักเสบไม่ได้มีเพียงลักษณะเดียว แต่สามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบด้วยกัน บางคนอาจมีสิวอักเสบไม่มีหัว หรือบางคนก็อาจเป็นสิวอักเสบหัวหนอง ดังนั้น เราจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเภทสิวอักเสบเอาไว้แล้ว ดังนี้

1. สิวอักเสบชนิดตุ่มนูนแดง (Papules) 

มีขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร เป็นสิวที่พัฒนามาจากสิวอุดตัน หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อของรูขุมขนร่วมด้วย หากสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ สิวชนิดนี้จะรักษาได้ง่ายเนื่องจากเป็นสิวอักเสบบนผิวชั้นบน ควรรีบรักษาเนื่องจากหากปล่อยทิ้งเอาไว้จะกลายเป็นสิวหัวหนองค่ะ 

2. สิวอักเสบหัวหนอง (Pustules) 

สิวหัวหนองที่มีขนาดใหญ่กว่าตุ่มนูนแดง บริเวณหัวจะมีหนองสีขาวเหลือง โดยสิวหนองเกิดจากการที่สิวชนิดตุ่มนูนแดงเกิดอาการติดเชื้อไปสักพักจนมีหนองเกิดขึ้นใต้ผิวหนัง เป็นชนิดของสิวอักเสบที่รักษาได้ไม่ยากเช่นเดียวกับสิวอักเสบตุ่มนูนแดงค่ะ

3. สิวอักเสบแดงเป็นก้อน (Nodules) 

สิวอักเสบขนาดใหญ่ที่มีสีแดง เกิดจากการที่ติดเชื้อไปถึงผิวหนังชั้นลึก อาจเกิดจากการบีบสิวอักเสบชนิดตุ่มนูนแดงแล้วทำให้แบคทีเรียหรือน้ำมันกระจายภายในชั้นผิวหนังค่ะ 

4. สิวซีสต์ สิวหัวช้าง (Cysts)

สิวซีสต์คล้ายสิวอักเสบแดงเป็นก้อนแต่มีอาการติดเชื้ออักเสบมากกว่า ส่วนสิวหัวช้างก็มีลักษณะเป็นก้อนสิวขนาดใหญ่ เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกถึงก้อนแข็ง คล้ายสิวอักเสบไม่มีหัวแต่จะรู้สึกเจ็บปวดมาก 


ความรุนแรงในการเกิดสิวอักเสบ 

ระดับความรุนแรงของสิวอักเสบสามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วงหลัก ๆ ได้แก่ 

  1. ระดับเล็กน้อย
    เป็นสิวที่ยังไม่มีอาการอักเสบรุนแรง พัฒนามาจากสิวอุดตัน โดยอาจมีลักษณะเป็นสิวขนาดเล็ก จำนวนไม่มาก เช่น สิวหัวดำ, สิวหัวขาว, สิวไม่มีหัว หรือสิวหัวหนอง เป็นต้น อยู่ในระดับที่สามารถรักษาได้ง่ายค่ะ 
  2. ระดับปานกลาง
    สิวตุ่มนูนแดงหรือสิวหัวหนองเป็นจำนวนมาก เช่น สิวเห่อบริเวณหน้า, สิวที่คาง, สิวที่หน้าผาก หรือบนร่างกายบริเวณอื่น ๆ ค่ะ 
  3. ระดับค่อนข้างรุนแรง
    สิวอักเสบเป็นสิวหัวหนองหรือสิวอักเสบไม่มีหัวบวมแดงก้อนใหญ่ร่วมด้วย เริ่มสัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บปวดมาก
  4. ระดับรุนแรง
    มีสิวอักเสบที่เป็นสิวหนองและสิวตุ่มขนาดใหญ่ขึ้นทั่วบริเวณและส่งผลให้รู้สึกเจ็บปวดมาก ๆ หากสัมผัส 

วิธีรักษาสิวอักเสบ 

รักษาสิวอักเสบ

การรักษาสิวอักเสบต้องทำอย่างไร? มีวิธีรักษาสิวอักเสบอย่างไรให้เห็นผลได้ชัดเจนบ้าง? รมย์รวินท์ได้รวบรวมวิธีรักษาสิวอักเสบที่เหมาะสมกับแต่ละคนเอาไว้แล้ว ดังนี้

1. การกดสิวอักเสบ

วิธีการรักษาสิวอักเสบด้วยการกดสิวนั้นควรทำด้วยตนเอง เนื่องจากอาจทำให้ทิ้งรอยสิวเอาไว้ได้  รวมถึงแบคทีเรียบริเวณสิวอักเสบอาจเกิดการกระจายตัวทำให้สิวอักเสบมีบริเวณกว้าง หรืออักเสบรุนแรงมากยิ่งขึ้น สิวบางชนิด เช่น สิวหัวช้าง, สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ หรือสิวซีสต์ก็ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการกดค่ะ

การกดสิวอักเสบควรรักษาร่วมกับการใช้ยาทาหรือยากิน โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลลัพธ์ของการรักษาออกมาอย่างปลอดภัยและเห็นผลมากที่สุด

2. รักษาสิวอักเสบด้วยยา 

  • ยาทา
    เรตินอยด์ (Retinoids) เป็นสารกลุ่มเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) หรือวิตามินเอ (Vitamin A) นั่นเอง สามารถพบได้ตามธรรมชาติ มีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว, ลดการอุดตันของเคราตินใน
    รูขุมขน รวมถึงลดอาการอักเสบจากแบคทีเรีย C.acnes เป็นต้นค่ะ ซึ่งยาทาในกลุ่มเรตินอยด์มีตัวอย่างดังนี้
    • เตรติโนอิน (Tretinoin)
    • อะดาพาลีน (Adapalene)

ยังมียาชนิดอื่น ๆ ที่สามารถช่วยในการรักษาอาการสิวอักเสบ ซึ่งยาบางชนิดอาจเป็นยาอันตราย ต้องใช้งานภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น

  • ยากิน
    • เตตราไซคลีน (Tetracycline)
    • อีริโทรไมซิน (erythromycin)
    • ไอโสเตรตินอยน์ (Isotretinoin)
    • ด็อกซีไซคลีน (Doxycycline)
    • คลินดาไมซิน (clindamycin)
    • ยาคุมกำเนิด

3. เลเซอร์สิวอักเสบ

เลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาสิวอักเสบมักเป็นการเลเซอร์เพื่อลดรอยสิวหลังจากที่สิวอักเสบหายแล้ว โดยอาจแบ่งเป็นเลเซอร์ที่สามารถใช้รักษารอยดำรอยแดงจากสิวอักเสบ หรือรักษาหลุมสิวนั่นเอง


ป้องกันและลดการเกิดสิวอักเสบได้อย่างไร 

วิธีป้องกันสิวอักเสบ

หลายคนอาจศึกษาเพียงวิธีรักษาสิวอักเสบ แต่ความจริงแล้วเราสามารถป้องกันและลดโอกาสในการเกิดสิวอักเสบได้หากปฏิบัติตนตามข้อเหล่านี้ 

  • ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนเป็นประจำเช้า-เย็นเพื่อลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบจากแบคทีเรียที่อยู่บนผิว 
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง รวมถึงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน, น้ำหอม และพาราเบน รวมถึงสารอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยกระตุ้นสิวอักเสบ
  •  งดสัมผัสบริเวณใบหน้าหรือส่วนที่เป็นสิวอักเสบ เช่น สิวบนหน้าผาก, สิวที่จมูก หรือสิวบริเวณ
    ลำตัว เพื่อป้องกันไม่ให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น
  • เลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีส่วนประกอบในการทำให้เกิดการอักเสบของผิว 
  • ดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อให้ผิวชุ่มชื่นและลดการสร้างน้ำมันจากต่อมน้ำมันใต้ชั้นผิว ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบ 
  • ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเมื่อเกิดสิวอุดตันหรือสิวชนิดอื่น ๆ เพื่อไม่ให้สิวบริเวณนั้นพัฒนาการเป็นสิวอักเสบ 

คำถามที่เกี่ยวกับสิวอักเสบ 

คำถามเกี่ยวกับสิวอักเสบ

1. สิวหัวช้างกี่วันหาย?

สิวอักเสบแต่ละชนิดมีระยะเวลาในการรักษาแตกต่างกันออกไป ซึ่งสิวหัวช้างถือเป็นสิวอักเสบที่มีการติดเชื้อใต้ผิวชั้นลึก ดังนั้นอาจใช้เวลาหลายเดือนที่จะหายดีค่ะ 

2. สิวอักเสบไม่มีหัวกี่วันหาย?

สิวไม่มีหัวกี่วันหาย? โดยปกติแล้วสิวอักเสบไม่มีหัวจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนถึง 1 เดือนครึ่งจึงจะหายดี อาจขึ้นอยู่กับขนาดรวมถึงความลึกที่สิวนั้นเกิดขึ้น หากทำการดูแลตัวเองก็จะสามารถหายดีได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นค่ะ 

3. สิวอักเสบหัวหนองควรบีบหรือกดไหม?

หากทำการบีบสิวหัวหนองด้วยตัวเองทำให้สิวเกิดอาการอักเสบและกระจายตัวมากยิ่งขึ้น ดังนั้น หากต้องการบีบหรือกดสิวอักเสบหัวหนอง ควรเข้ารับบริการในคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางในการทำการรักษา เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างปลอดภัยค่ะ 

4. กดสิวอุดตันแล้วอักเสบทำอย่างไรดี?

หลายคนอาจเจอเหตุการณ์กดสิวแล้วอักเสบ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดีขึ้น เราแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยสาเหตุของสิวอักเสบ และทำการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามที่คนไข้คาดหวังมากที่สุดค่ะ 


รักษาสิวอักเสบด้วยโปรแกรม AC Clear จาก Romrawin Clinic 

โปรแกรมรักษาสิวอักเสบ AC Clear

โปรแกรม AC Clear เป็นโปรแกรมรักษาสิวอักเสบที่ช่วยให้คุณสามารถกำจัดปัญหาสิวอักเสบกวนใจ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาสิวของคนไข้แต่ละคน ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามใจมากที่สุดค่ะ

ในโปรแกรมจะมีการฉีดยาสิวอักเสบเพื่อต้องการลดปริมาณสิวอักเสบก่อนจะทำหัตถการทรีตเมนต์ P Anti Acne เพื่อสร้างสมดุลของชั้นผิวด้วยเทคโนโลยีผลักวิตามิน


อ้างอิง

Berry, J. (2020, May 13). Inflamed acne: Causes, symptoms, and remedies.
https://www.medicalnewstoday.com/articles/inflamed-acne

Cherney, K. (2019, March 8). How to Get Rid of Inflamed Acne.
https://www.healthline.com/health/inflamed-acne


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือปรึกษาปัญหากับแพทย์
ได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้
แชร์บทความนี้

Related Posts