เลเซอร์หน้าใส
รอยสิว

รอยสิว คืออะไร? พร้อม 12 วิธีรักษารอยแดง รอยดำ บนใบหน้า

ปัญหาผิวที่กวนใจใครหลายคนมากที่สุดอาจเป็นจุดด่างดำ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอที่มีต้นเหตุมาจากรอยสิว ทำให้กังวลว่าเป็นสิ่งที่แก้ไม่หาย แต่ความจริงแล้วมีวิธีที่สามารถช่วยลดรอยสิวอยู่หลากหลายวิธีด้วยกันค่ะ

ในบทความนี้ รมย์รวินท์ได้รวบรวมข้อมูลที่ช่วยในการรักษารอยสิวให้ดูจางลง ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดงจากสิว หรือแผลสิวอักเสบ เป็นต้น โดยทุกคนควรเลือกคลินิกรักษาที่มีความปลอดภัย และได้ใบรับรองประกอบกิจการอย่างถูกต้องค่ะ



รอยสิว เกิดจากสาเหตุใด 

ก่อนจะทำการรักษารอยสิว เราควรทราบก่อนว่ารอยสิวและหลุมสิวเกิดจากอะไร เพื่อที่จะสามารถป้องกันการเกิดจุดด่างดำหรือร่องรอยจากสิวได้ก่อนที่จะรักษาได้ยาก

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยดำ รอยแดง และหลุมสิวมักเกิดจากสิวอักเสบหรือสิวอุดตัน เนื่องจากเมื่อสิวหายแล้ว แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้เช่นกัน ซึ่งอาจเกิดจากกระบวนการฟื้นฟูของผิวค่ะ


รูปแบบรอยสิว 

ประเภทรอยสิว

รอยสิวไม่ได้มีเพียงแค่จุดด่างดำ รอยแดง รอยดำจากสิวเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงรอยหลุมสิวอีกด้วย ในส่วนนี้เราจะมาแยกความแตกต่างระหว่างรอยสิวชนิดต่าง ๆ กันค่ะ

รอยแดงจากสิว (Post – Inflammatory Erythema)

รอยแดงจากสิว (Post – Inflammatory Erythema) คือ รอยสีแดงที่เกิดขึ้นระหว่างสิวอักเสบหรือหลังจากสิวหายแล้ว เป็นรอยสิวที่เกิดจากความผิดปกติจากเส้นเลือด หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอย่างถูกต้องก็สามารถกลายเป็นรอยดำได้ค่ะ

รอยดำจากสิว (Post – Inflammatory Hyperpigmentation)

รอยดำจากสิว (Post – Inflammatory Hyperpigmentation) คือ รอยคล้ำหรือรอยสีน้ำตาลที่เกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบหาย อาจมีสาเหตุมาจากการแกะหรือเกาสิวอักเสบ ทำให้กลายเป็นแผลและสะเก็ดหรือผิวถลอกได้ อีกสาเหตุอาจมาจากการปล่อยรอยแดงเอาไว้และไม่รักษาอย่างถูกวิธีจนกลายเป็นรอยดำค่ะ

รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)

รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบ ในระยะของการฟื้นฟูนั้น ผิวไม่สามารถสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อมาทดแทนได้อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดเป็นหลุมรอยสิวค่ะ แม้จะไม่ใช่ร่องรอยสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ แต่ก็สามารถรักษาได้เช่นกัน


12 วิธีรักษารอยสิว รอยดำ รอยแดง

รักษารอยสิว

วิธีที่สามารถช่วยในการรักษารอยสิวให้ดูจางลงมีหลากหลายวิธีด้วยกัน โดยแต่ละวิธีนั้นเหมาะสำหรับสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรเลือกวิธีลดรอยสิวให้เหมาะสมกับตนเอง วิธีต่าง ๆ ในการรักษาเบื้องต้นที่รวบรวมมามีดังต่อไปนี้ 

1. ทายาลดรอยสิว

การทายาเพื่อลดรอยสิวเป็นหนึ่งในวิธีรักษารอยสิวด้วยตัวเองง่าย ๆ แต่ต้องศึกษายาที่สามารถช่วยลดรอยดํารอยแดงหรือปัญหาผิวที่เหมาะกับตนเอง โดยผลิตภัณฑ์ที่สามารถแก้ปัญหารอยสิวได้ เช่น  วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยลดรอยแดงและการอักเสบของผิว, คอร์ติโซน (Cortisone) ช่วยลดอาการอักเสบบนผิว, เรตินอยด์ (Retinoids) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้จุดด่างดํารอยสิวจางลง, เซราไมด์ (Ceramide) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) หรือวิตามินบี 3 ที่ช่วยลดรอยสิวและอาการอักเสบได้ เป็นต้นค่ะ

มีสิวหลายประเภทที่สามารถรักษาให้หายเพียงทาเซรั่มลดรอยสิวหรือทายาลดรอยสิว เช่น สิวไม่มีหัว, สิวแพ้สารหรือสิวสเตียรอยด์, สิวอุดตัน และสิวหัวช้าง เป็นต้น 

2. สครับผิว

การสครับผิวเป็นวิธีที่สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างชั้นผิวใหม่  ซึ่งการสครับนั้นจะทำให้ผิวมีสีสม่ำเสมอกันมากยิ่งขึ้น ทั้งรอยสิวที่เป็นรอยดำรอยแดงก็จะดูบางลง แต่หลังจากการสครับหน้าอาจทำให้ผิวแห้งได้ ดังนั้นจึงควรทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น และไม่ควรสครับผิวหน้าบ่อยจนเกินไปค่ะ 

3. เลเซอร์ลดรอยสิว

วิธีที่สามารถลดรอยสิวได้เห็นผลชัดเจนคือการทำเลเซอร์หัตถการลดรอยสิว ในปัจจุบันมีการพัฒนาเลเซอร์หลากหลายชนิดเพื่อช่วยรักษารอยดำรอยแดงจากสิวรวมถึงหลุมสิวอีกด้วย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้ 

  • เลเซอร์ชนิดลอกผิว (Ablative Laser)
    เป็นเลเซอร์ที่จะทำการกรอผิวบริเวณชั้นบนออก เลเซอร์ลดรอยสิวชนิดนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของชั้นผิวมาทดแทน ทำให้รอยสิวดูจางลงและหลุมสิวตื้นขึ้นได้อีกด้วย
  • เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-Ablative Laser)
    เลเซอร์ชนิดนี้จะเน้นการรักษารอยสิวที่เป็นรอยดำรอยแดง โดยการทำเลเซอร์ชนิดนี้จะส่งผลให้ผิวกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยในการกระชับรูขุมขนจากการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวร่วมด้วย

4. การฉีดสเตียรอยด์ (Intra Lesional Corticosteroid)

การฉีดสเตียรอยด์

การฉีดสเตียรอยด์บริเวณรอยสิวนั้นจะสามารถรักษาแผลสิวที่มีลักษณะนูน หรือเรียกว่าคีลอยด์ (Keloid) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการฉีดยา Triamcinolone Acetonide บริเวณที่เป็นคีลอยด์ ซึ่งจะออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ทำให้แผลยุบลงและนุ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งรมย์รวินท์มีแพทย์ในการประเมินอยู่เสมอ ไม่ทำให้เกิดอันตรายจากการทำหัตถการฉีดสเตียรอยด์ค่ะ

5. การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy)

การบำบัดด้วยความเย็น หรือ Cryotherapy สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว เน้นการทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น ซึ่งการบำบัดด้วยความเย็นนี้สามารถช่วยลดอาการอักเสบ รวมถึงรักษารอยดำรอยแดงบนผิว ช่วยให้รอยสิวดูจางลง ในปัจจุบันก็มีสกินแคร์ที่พัฒนาโดยใช้หลักการนี้เป็นพื้นฐานร่วมด้วยค่ะ 

6. การทาครีมกันแดด

การทาครีมกันแดดเป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่สามารถช่วยให้รอยสิวดูจางลง เนื่องจากแสงแดดเป็นสิ่งกระตุ้นให้เม็ดสีใต้ชั้นผิวเข้มมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสง UV ยับยั้งไม่ให้รอยดำ รอยแดงจากสิวที่มีสีเข้มขึ้น 

ให้แสงแดดจะประกอบด้วยรังสี UVA และรังสี UVB ซึ่งรังสีที่จะทำให้ผิวคล้ำ รอยสิวและรอยดำรอยแดงมีสีชัดขึ้นก็คือรังสี UVA ดังนั้นเราจึงควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป เพื่อให้คุณสมบัติในการปกป้องผิวจากแสงแดดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ 

7. เข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

หากรักษารอยสิวด้วยตนเองแล้วแต่ไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ควรเข้าปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษารอยสิวด้วยหัตถการที่ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เช่น เลเซอร์รอยสิวและหัตถการอื่น ๆ 

การเข้ารักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหารอยสิวของเราได้มากที่สุด รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์เฉพาะทางมากประสบการณ์ที่ให้คำปรึกษาและทำหัตถการรักษารอยสิวให้ออกมาได้ผลลัพธ์ตรงตามคาดหวังของทุกคนค่ะ 


รอยสิว สามารถป้องกันได้อย่างไร

ป้องกันรอยสิวอย่างไร

หลายคนมักคิดว่ารอยสิวทำได้เพียงรักษาหลังจากเกิดขึ้นแล้ว แต่ความจริงแล้ว รอยแดงบนหน้าหรือรอยดําจากสิวนั้นสามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้ ฉะนั้น หากไม่ต้องการให้มีรอยดำรอยแดง ควรปฏิบัติตัวตามข้อดังต่อไปนี้

  • งดบีบ กด หรือแกะสิวด้วยตัวเอง
    เมื่อเกิดสิวบริเวณต่าง ๆ เช่น  สิวที่คาง รอยสิวที่หลัง สิวที่จมูก หรือบริเวณอื่น ๆ บนใบหน้าและร่างกาย ก็อาจมีหลายคนที่ใช้บีบหรือกดสิวด้วยตัวเอง ทำให้ผิวบริเวณนั้นได้รับความเสียหาย กลายเป็นแผล ส่งผลให้เกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้นได้
    นอกจากนี้ หากเกิดอาการอักเสบรุนแรงก็จะทำให้เป็นรอยแดงและพัฒนาเป็นรอยดำต่อไป หรือถ้าแกะเกาก็อาจทำให้เกิดหลุมรอยสิวที่รักษาได้ยากค่ะ
  • หลีกเลี่ยงการออกแดด
    อีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้นให้รอยสิวชัดและรักษายากขึ้นก็คือแสงแดด เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นเม็ดสีใต้ชั้นผิวให้มีสีเข้มขึ้น จึงส่งผลโดยตรงกับรอยดำรอยแดง หากต้องการลดรอยสิวที่หน้าหรือป้องกันไม่ให้รอยเข้มขึ้นก็ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรงควบคู่กับการทากันแดดที่มีค่า SPF สูงเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดค่ะ
  • ใช้ครีมบำรุงและสกินแคร์ลดรอยสิว
    การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงผิวเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่สามารถป้องกันและลดรอยดำ รอยแดงจากสิวได้ ซึ่งเราควรเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว รวมถึงปัญหาผิวของตัวเอง สามารถหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นเวชสำอางซึ่งมีส่วนประกอบที่อ่อนโยนต่อผิวและช่วยลดรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
    เนื่องจากเมื่อผิวขาดความชุ่มชื่น ต่อมน้ำมันใต้ผิวจะทำการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวเพื่อลดการระเหยของน้ำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว ดังนั้นเราควรดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อให้ผิวไม่แห้งจนเกินไป รวมถึงการดื่มน้ำมาก ๆ จะสามารถขับของเสียออกจากร่างกาย ช่วยลดโอกาสเกิดสิวจนพัฒนาเป็นรอยดํารอยแดงจากสิวได้ค่ะ 
  • เข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    หากเกิดสิวอักเสบหรืออุดตันและลองรักษาด้วยตัวเองแต่ไม่เป็นผล ควรเข้าปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ให้สิวอักเสบทิ้งรอยสิวเอาไว้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอค่ะ

คำถามที่พบบ่อย 

คำถามเกี่ยวกับรอยสิว

หลายคนอาจยังมียังมีคำถามเกี่ยวกับวิธีลดรอยสิวหรือการรักษารอยสิวในแบบต่าง ๆ ดังนั้นเราจึงรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเพื่อที่จะสามารถไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษารอยดำรอยแดงหรือหลุมรอยสิวให้กระจ่างเอาไว้ ดังนี้ 

1. รอยสิวกี่วันหาย? หายภายใน 1 อาทิตย์ได้หรือเปล่า? 

รอยสิวหายใน 1 อาทิตย์ได้หรือไม่? หรือวิธีรักษารอยดําจากสิวเร็วที่สุดต้องใช้เวลาเท่าไหร่? ความจริงแล้วขึ้นอยู่วิธีในการรักษาร่วมด้วย ซึ่งหากเราทายาเพื่อลดรอยสิวก็อาจทำให้รอยดำรอยแดงดูจางลงได้ภายในเวลา 3-4 เดือนขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ส่วนวิธีที่สามารถทำให้รอยสิวดูจางลงอย่างเห็นได้ชัดคือการทำเลเซอร์รอยสิวที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ภายใน 1-3 เดือนค่ะ 

2. รอยแดง รอยดำ จากสิวหายเองได้ไหม?

รอยดำและรอยแดงจากสิวสามารถหายได้เองค่ะ หากเราปล่อยรอยสิวเอาไว้โดยไม่ทำการรักษารอยสิวนั้นจะสามารถหายได้เองภายใน 4-6 เดือน แต่หากเป็นหลุมรอยสิว ผิวจะฟื้นฟูช้า ดังนั้นหากต้องการให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นควรทำการรักษาด้วยการทำหัตถการกับแพทย์เฉพาะทางค่ะ 


จัดการรอยสิว รอยดำ รอยแดง ด้วยโปรแกรมเลเซอร์

โปรแกรมรักษารอยสิว

ใครที่กำลังสนใจในการทำหัตถการลดรอยสิวด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทางรมย์รวินท์คลินิกมีโปรแกรมเลเซอร์ลดรอยสิวที่สามารถตอบโจทย์การรักษารอยสิวชนิดต่าง ๆ ให้ผลลัพธ์หลังการทำอย่างชัดเจนและตรงตามที่คนไข้ต้องการ โดยโปรแกรมเลเซอร์ลดรอยสิวมีเบื้องต้นดังนี้ 

1. Smart Laser ลดรอยดำจากสิว

Smart Laser นวัตกรรมเลเซอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยสิวไม่ว่าจะเป็นจุดด่างดำ, รอยดำจากสิว หรือรอยแดงก็สามารถปรับให้เป็นสีผิวที่สม่ำเสมอและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น 

ด้วยการผสานเลเซอร์แสงสีเหลืองที่มีความยาวคลื่น 578 นาโนเมตร สามารถช่วยลดรอยแดงและอาการอักเสบของสิว พร้อมเลเซอร์แสงสีเขียวที่มีความยาวคลื่น 511 นาโนเมตร ทำให้ช่วยลดความหมองคล้ำและรอยดำจากสิว Smart Laser จึงเป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษารอยสิวหลากหลายประเภทค่ะ 

2. RB Laser ลดรอยแดงจากสิว

โปรแกรม RB Laser ตัวช่วยลดรอยแดงจากสิวอย่างมีประสิทธิภาพ เผยผิวกระจ่างใสได้ด้วยเทคโนโลยีที่อ่อนโยน ไม่ทำอันตรายต่อผิวหนัง ทั้งยังสามารถลดหลุมสิวและรักษารอยดำได้อีกด้วย

เลเซอร์วีบีม (Vbeam) มีความยาวคลื่น 595 นาโนเมตร สามารถช่วยในการดูดซับรอยแดงให้จางลงอย่างรวดเร็วหลังการรักษา ด้วยเทคโนโลยีหัวยิงพลังงานรุ่นใหม่ที่ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนและลดรอยสิวให้สีผิวดูสม่ำเสมอ พร้อมช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง


อ้างอิง (ข้อมูลเว็บต่างประเทศ)

Aremu, B. (2022, February 23). Everything You Want to Know About Acne.
https://www.healthline.com/health/skin/acne

Johnson, J. (2022, July 11). How to best treat acne scars.
https://www.medicalnewstoday.com/articles/324784


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือปรึกษาปัญหากับแพทย์
ได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้
แชร์บทความนี้

Related Posts