แม้ว่าสิวจะหายแล้ว แต่ผิวในบริเวณที่เคยเป็นสิวมาก่อน อาจทิ้งร่อยรอยความบอบช้ำ ที่เรียกว่า “รอยสิว” เอาไว้บนใบหน้า โดยรอยสิวเกิดจากเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) มากกว่าปกติ ซึ่งคนที่มีสีผิวค่อนข้างเข้มจะมีโอกาสเกิดรอยสิวได้มากกว่า เนื่องจากมีอัตราการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากกว่า นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดรอยสิว ซึ่งจะเกิดจากปัจจัยอะไรบ้างนั้นไปดูกันค่ะ
หัวข้อ … รอยสิว
- ต้นตอ “รอยสิว” เกิดจากอะไร
- 5 วิธีป้องกันก่อนเกิดรอยสิว
- “เลเซอร์” ทางลัดรักษารอยสิว
- ข้อควรรู้
- ระยะเวลาในการรักษา
- สอบถาม … เพิ่มเติม
ต้นตอ “รอยสิว” เกิดจากอะไร
“รอยสิว” มีสาเหตุหลักมาจากการเซลล์เนื้อเยื่อในบริเวณที่เป็นสิว ถูกทำลายจากการอักเสบของผิวหนัง สามารถแบ่งชนิดของรอยสิวออกได้ 3 ชนิด ได้แก่
- รอยแดง
เกิดจากร่างกายพยายามลำเลียงเลือดไปยังบริเวณที่อักเสบเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อภายใต้ผิว ทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว ปรากฏเป็นรอยแดงในบริเวณที่เกิดสิว
- รอยดำ
เกิดจากเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานิน หรือ เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ถูกกระตุ้นให้อักเสบหรือระคายเคือง จากการแคะ แกะ เกาสิว เกิดเป็นรอยดำหรือรอยสีน้ำตาลเข้มบนผิวหนัง
- หลุมสิว
เกิดจากสิวอักเสบในระยะรุนแรง ซึ่งเกิดในชั้นผิวหนังที่ลึกกว่าชั้นผิวหนังปกติ แม้ร่างกายจะพยายามสร้างคอลลาเจน และเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มได้ จนกลายเป็นหลุมสิวในที่สุด
5 วิธีป้องกันก่อนเกิดรอยสิว
คงจะดีไม่น้อย ถ้าเรามีคาถาในการเสกรอยสิวให้หายไปพริบตา แต่ในความเป็นจริง เราทำได้เพียงอดทน เพราะการทำให้รอยสิวลดเลือนลงนั้น มีหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีใช้ระยะเวลาในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเข้มของรอยสิว 5 วิธีป้องกันก่อนเกิดรอยสิว
- หลีกเลี่ยงการแกะ แคะ เกา หรือบีบสิว
รู้หรือไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น และยังเร่งให้เกิดรอยสิวที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น หากมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้มีความสะอาดไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น รวมถึงหลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลบเลือนรอยสิว
ปัจจุบันมีครีม และเซรั่มที่ช่วยในการลบเลือนรอยสิวอยู่มาก โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี จำเป็นต้องมีส่วนประกอบสำคัญ เช่น วิตามินซีที่จะช่วยลดการอักเสบของผิว สารเรตินอยด์ ที่มีคุณสมบัติยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และควรมีส่วนผสมของสารสกัด หรือกรดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการลบเลือนจุดด่างดำ เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดด
เพราะแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นทำให้รอยสิวเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงควรหมั่นทาครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติในการป้องกันแสง UVA และ UVB กันแดด SPF 30++ ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง และควรทาบาง ๆ ขณะที่อยู่ภายในบ้านเพื่อปกป้องผิวหน้าจากแสงไฟและไอความร้อน
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนน้อย หรือนอนดึก ส่งผลทำให้ร่างกายสูญเสียช่วงเวลาในการฟื้นฟู ซึ่งไม่ใช่แค่ผิวหน้า แต่รวมถึงผิวพรรณในส่วนอื่น ๆ และระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายด้วย
- อย่ากลัวที่จะปรึกษาแพทย์
หากพยายามรักษารอยสิวด้วยตนเองแล้วยังไม่เห็นผล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษารอยสิว ซึ่งทางเลือกที่ได้ผลลัพธ์อย่างชัดเจนและรวดเร็วมีหลากหลายวิธี เช่น การทำทรีตเม้นต์ด้วยการผลักวิตามินเข้าสู่ผิว การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ และการทำเลเซอร์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลลัพธ์เร็วกว่าวิธีรักษารอยสิวด้วยวิธีอื่น ๆ
“เลเซอร์” ทางลัดรักษารอยสิว
การรักษาสิวด้วยการทำเลเซอร์ เป็นหัตถการที่แพทย์จะใช้เครื่องมือในการยิงแสง และเลเซอร์ลงบนผิว เพื่อแก้ปัญหา ซึ่งความแรงและช่วงคลื่นจะแตกต่างกันตามชนิดของรอยสิว โดยหลักการทำงานของคลื่นพลังงานความร้อนจะเข้าไปทำลายกลุ่มเม็ดสีที่เกาะตัวเป็นรอยสิวให้จางลง นอกจากนี้เลเซอร์ยังถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหารอยหลุมสิว ให้ตื้นขึ้น โดยการส่งผ่านพลังงานความร้อนลงใต้ชั้นผิวเพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูเซลล์ผิวใหม่โดยไม่ทำลายชั้นผิวเดิม ชนิดของเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษารอยสิว
- Fraxel Laser
เป็นการปล่อยแสงเลเซอร์อนุภาคขนาดเล็กลงสู่ผิว เพื่อให้เกิดพลังงานความร้อนในชั้นผิวลึก แสงเลเซอร์จะเข้าทำลายเซลล์ผิวที่อ่อนแอ ขจัดเม็ดสีส่วนเกินโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียง นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ
- eMatrix Laser
เป็นเทคโนโลยีในการรักษารอยสิว ด้วยพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency หรือ RF) โดยจะปล่อยพลังงานลงสู่ชั้นผิวในรูปแบบพีรามิด เพื่อให้พลังงานกระจายลงไปในชั้นคอลลาเจนสลายริ้วรอยและหลุมสิวให้ตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับ ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- Fractional Laser
เป็นการรักษารอยสิวด้วยการยิงแสงเลเซอร์อนุภาคขนาดเล็กลงสู่ผิวหนังชั้นลึก เพื่อกระตุ้นให้ผิวซ่อมแซมตัวเอง และสร้างคอลลาเจนใหม่ที่แข็งแรงมาแทนที่ ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวนุ่มฟูฉ่ำน้ำ รูขุมขนกระชับ ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
ข้อควรรู้
ก่อนทำเลเซอร์ที่ รมย์รวินท์ คลินิก
ก่อนเข้าทำการรักษา ผู้รักษาจำเป็นต้องล้างเครื่องสำอาง และครีมบำรุงเพื่อเตรียมผิวหน้าให้พร้อม โดยหลังจากการรักษารอยสิวด้วยเครื่องเลเซอร์ อาจะมีรอยแดงหรือตกสะเก็ดในบริเวณที่ทำ แต่รอยดังกล่าวจะค่อยๆ จางหายไปเองภายใน 5-7 วัน ทั้งนี้สามารถใช้ชีวิตประจำวัน หรือแต่งหน้าได้ตามปกติ
ระยะเวลาในการรักษา
รอยสิวด้วยเลเซอร์
เนื่องจากปัญหาผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้นระยะเวลาในการรักษารอยสิวจึงแตกต่างกันออกไป ตามปกติควรทำเลเซอร์เพื่อรักษารอยสิวอย่างน้อย 3-5 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4-6 สัปดาห์ โดยรอยสิวจะค่อยๆ จางลง และสุขภาพผิวดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังเข้ารับทำเลเซอร์อย่างต่อเนื่อง
หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ
สามารถปรึกษาเราได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก
โทร.080-1539000 และ 080-1549000
Line@ : @Romrawinclinic