สิว
สิวที่หลังเกิดจาก

สิวที่หลัง ปัญหากวนใจของสาวๆ ที่อยากโชว์หลังได้อย่างมั่นใจ รวมวิธีการรักษาสิวให้หายขาด

เคยมั้ย? ถึงงานสำคัญต้องแต่งชุดโชว์แผ่นหลังครั้งไหนก็มีสิวที่หลังเป็นอุปสรรคความสวย ความมั่นใจ เพราะแผ่นหลังไม่เรียบเนียนมีทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ จำนวนไม่น้อย แถมบางทียังมีรอยสิวที่ขอร่วมแจมบนแผ่นหลังของเราอีกแบบนี้ หากรู้ถึงวิธีรักษา รวมไปถึงต้นตอของปัญหาที่ทำให้เกิดสิวที่หลังคงจะดีไม่น้อย วันนี้รมย์รวินท์คลินิก จะขอมาแชร์ถึงสาระดีๆ เกี่ยวกับสิวที่หลัง ตั้งแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง วิธีการรักษา การป้องกัน รวมไปถึงเคล็ดลับในการลดรอยสิวที่รู้แล้วช่วยจัดการปัญหาสิวที่หลังได้จริง!



สิวที่หลังเกิดจากสาเหตุใด

การเป็นสิวที่หลังถือเป็นปัญหาที่หนักใจไม่น้อยเมื่อเกิดขึ้น เพราะสิวที่หลังมาพร้อมกับความมั่นใจที่หายไป ใส่เสื้อผ้าโชว์หลังชุดไหนก็ไม่สวย ทั้งสิว ทั้งรอยสิวที่หลัง เห็นแบบนี้แล้วทำให้หลายคนที่กำลังเผชิญปัญหาต่างอยากทราบว่าสิวที่หลังเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ ซึ่งหลักๆ แล้วสาเหตุการเกิดมีดังต่อไปนี้

  • ฮอร์โมน : สาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดสิวที่หลังที่หลายคนเผชิญกันมากที่สุดก็คือในเรื่องของฮอร์โมน เพราะในบางครั้งฮอร์โมนภายในเกิดการแปรปรวนไม่ว่าจะการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ช่วงมีประจำเดือน หรือบางคนที่เกิดความเครียด เป็นต้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเกิดจากร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนเพศชายมากจนเกินไปอย่างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) จนทำให้มีการผลิตไขมันจนเกิดสิวขึ้นนั่นเอง
  • การสวมใส่เสื้อผ้า : เสื้อผ้าบางครั้งก็ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว หรือการระบายอากาศได้ไม่ดีพอเมื่อสวมใส่ จนทำให้เกิดการหมักหมมสิ่งสกปรกทั้งเหงื่อ แบคทีเรีย คราบเหงื่อไคล เป็นต้น
  • การรับประทานอาหาร : สาเหตุสุดท้ายของการทำให้เกิดสิวที่หลังคือการรับประทานอาหาร เพราะอาหารบางชนิดยิ่งกระตุ้นให้เกิดสิวมากยิ่งขึ้น เช่น อาหารจำพวกของทอดของมัน หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์จากนมวัว รวมไปถึงที่มีส่วนผสมของนม

สิวที่หลังมีรูปแบบไหนบ้าง?

เป็นสิวที่หลัง

สิวที่หลังเกิดขึ้นได้หลายประเภท โดยสิวที่หลังแต่ละประเภทก็จะมีสาเหตุสิวที่หลัง และลักษณะของสิวที่แตกต่างกัน โดยสิวที่หลังแต่ละประเภทมีดังต่อไปนี้

สิวอุดตัน

  • สิวอุดตันหัวขาว หรือสิวอุดตันหัวปิด (Whiteheads) เกิดจากการอุดตันในรูขุมขน ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไขมัน สิ่งสกปรกต่างๆ กลายเป็นสิวที่หลังไม่มีหัว ลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวเล็กๆ มองไม่เห็นหัวสิว แต่สัมผัสแล้วจะรู้สึกถึงพื้นผิวที่นูนออกมา หากดูแลรักษาไม่ดีอาจกลายเป็นได้
  • สิวอุดตันหัวดำ หรือสิวอุดตันหัวเปิด (Blackheads) เกิดจากการอุดตันบนชั้นผิว ระยะแรกจะเป็นสีขาว แต่เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนจนกลายเป็นสีดำ ลักษณะเป็นตุ่มนูนมีหัวสิวสีดำอยู่ตรงกลาง หากดูแลรักษาไม่ดีอาจกลายเป็นสิวอักเสบที่หลังได้เช่นกัน

สิวอักเสบ

  • สิวตุ่มแดง (Papule) เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่พัฒนามาจากสิวอุดตันที่หลัง หรือแบคทีเรียที่อุดตันในรูขุมขน กลายเป็นตุ่มนูนแข็งๆ สีแดง ไม่มีหัวสิว สัมผัสแล้วจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย สามารถรักษาได้ง่ายสิวอักเสบกว่าสิวชนิดอื่น
  • สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามไปยังชั้นผิวด้านล่างที่ลึกขึ้น ทำให้เป็นตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่ สัมผัสโดนจะรู้สึกแข็งเหมือนสิวเป็นไต และรู้สึกเจ็บมากกว่าสิวอักเสบที่หลังชนิดอื่น
  • สิวเสี้ยน (Small Pimple) เกิดจากความผิดปกติของเส้นขนในรูขุมขนที่มีมากเกินไป แล้วจับตัวกับ
    ไขมัน เคราติน จนกลายเป็นสิวเสี้ยน มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ ตามรูขุมขนบนผิวหนัง สามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกายที่มีรูขุมขน
  • สิวหัวหนอง (Pustule) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ที่ผ่านไประยะหนึ่งจนกลายเป็นหนองสีขาวใต้ผิวหนังในสิวตุ่มแดง ไม่ควรบีบออก เพราะอาจเกิดเป็นรอยดำ หรืออักเสบเพิ่มได้ 
  • สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) เกิดจากการอักเสบรุนแรงในชั้นหนังแท้ ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง

จนเกิดเป็นตุ่มอ่อนนุ่มขนาดใหญ่ รู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อสัมผัส และรักษาได้ยากกว่าสิวอักเสบที่หลังชนิดอื่น


8 วิธีรักษาสิวที่หลัง

เมื่อได้ทราบถึงสาเหตุ และประเภทของสิวที่หลังกันไปแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มมีการสังเกตตัวเองสิวที่หลังเป็นปัญหากวนใจที่หลายๆ คนอยากกำจัดให้หายไปแบบสิ้นซาก วันนี้รมย์รวินท์คลินิก ขอแชร์เคล็ดลับดีๆ ที่ช่วยรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้

1. ให้ความสำคัญในการทำความสะอาด

การทำความสะอาดเป็นขั้นตอนแรกๆ ที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะในชีวิตประจำวันของเราอาจจะผ่านกิจกรรมต่างๆ มามากมายที่ทำให้เกิดเหงื่อ เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกที่จะยิ่งทำให้สิวที่หลังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวผด และสิวชนิดอื่นๆ เกิดความรุนแรงมากขึ้นได้ จึงยิ่งทำให้ต้องใส่ใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาดที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง มีค่า pH ที่เหมาะสม และไม่ทำให้ผิวตึงเอี๊ยดค่ะ

2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพที่ดี บำรุงผิวพรรณให้ดูสดใสจากภายในสู่ภายนอก โดยเฉพาะผู้ที่เป็นสิวที่หลัง หากกำลังรักษาสิวอยู่แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทนม และที่มีนมเป็นส่วนประกอบทุกชนิด เพราะจะยิ่งเป็นการกระตุ้นสิวที่หลังให้รุนแรงขึ้นได้ 

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือเวชสำอางสำหรับรักษาสิวที่หลัง

สิวขึ้นหลัง

แน่นอนว่าผู้ที่เป็นสิวที่หลังหากกำลังอยู่ในช่วงรักษาสิวอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือเวชสำอางสำหรับในการรักษาสิว เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพ และปัญหาของผิวที่กำลังเป็นอยู่ โดยแนะนำผลิตภัณฑ์หรือเวชสำอางที่มีส่วนผสมที่เหมาะกับการรักษาสิวที่หลัง เช่น เซราไมด์ (Ceramide), เรตินอล (Retinol), AHA, BHA เป็นต้น

4. รักษาสิวที่หลังโดยใช้ยา

การรักษาสิวที่หลังโดยใช้ยาเรียกได้ว่าเป็นการรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพมากๆ  โดยจะมีตัวยาหลายรูปแบบ ที่จะช่วยยับยั้งและรักษาสิวที่หลังแต่ละประเภท สามารถรักษาได้ทั้งชนิดทา ฉีด หรือรับประทาน 

  • ยาชนิดทามีส่วนผสมในการรักษาสิว เช่น เรตินอยด์ (Retinoids) เตรทติโนอิน (Tretinoin) ช่วยป้องกันการอุดตันในรูขุมขน ด้วยการผลัดเซลล์ผิว ลดการสร้างน้ำมันส่วนเกิน นอกจากนี้ยังมี อะดาพาลีน (Adapalene) ที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรง และช่วยลดอาการอักเสบของสิวที่หลัง
  • ยาชนิดรับประทาน จะเป็นยาที่ช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุล เมื่อระดับฮอร์โมนเป็นปกติแล้ว อาการสิวที่หลังก็จะดีขึ้นด้วย
  • ยาชนิดฉีด เป็นยาชนิดคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ใช้สำหรับฉีดเพื่อรักษาสิวที่เกิดการอักเสบมาก เช่น สิวหัวช้าง แต่อาจไม่เหมาะกับผู้มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง

5. สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี

รอยสิวที่หลัง

อีกหนึ่งสาเหตุสิวที่หลัง คือการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นติดกับร่างกายจนเกินไป ทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่ระบายอากาศจนเหงื่อออกง่าย ระคายเคืองผิวจากการเสียดสี ทำให้สิวขึ้นตามตัว ดังนั้นจึงควรสวมเสื้อผ้าที่โปร่งโล่งสบาย สวมใส่แล้วไม่รู้สึกอึดอัด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีลดสิวที่หลังที่หลายคนอาจมองข้ามไป

6. เลเซอร์รักษาสิวที่หลัง

เลเซอร์เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาสิวที่หลังที่เห็นผลได้รวดเร็วที่สุด โดยพลังงานจากเลเซอร์จะช่วยให้สิวที่หลังดูลดลง นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลเป็น ที่เกิดจากสิวได้เป็นอย่างดี และยังช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวให้กลับมาแข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นสิวที่หลังซ้ำอีกในอนาคต

7. ฉีดวิตามินให้ผิว

การฉีดวิตามินผิว หรือดริปวิตามินสามารถช่วยรักษาสิวที่หลังหายขาดได้ จากส่วนผสมของวิตามินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Vit C Glutamine Amino Nac นอกจากจะช่วยให้ผิวเนียนกระจ่างใส สร้างคอลลาเจนแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาสิวที่หลัง  ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น ลดโอกาสที่ทำให้เกิดสิวขึ้นที่หลังได้ในอนาคตอีกด้วย

8. รักษาสิวที่หลังกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่รมย์รวินท์คลินิก

สิวหลัง

วิธีสุดท้ายในการรักษาสิวที่หลังให้ได้ผล และตรงจุดมากที่สุดคือการรักษาสิวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตั้งแต่การวินิจฉัยปัญหา ดูต้นตอสาเหตุของการเกิดสิว ไปจนถึงการรักษาจนอาการดีขึ้น และกลับมามีแผ่นหลังที่เรียบเนียนไร้สิว ทั้งหมดที่กล่าวมาโปรแกรมรักษาสิวที่หลัง Back clear ของรมย์รวินท์คลินิกมาพร้อมขั้นตอนที่ช่วยรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังช่วยลดรอย ใครที่กำลังเป็นสิวที่หลังอยู่แนะนำโปรแกรมรักษาสิวดีๆ ที่รมย์รวินท์คลินิกเลยค่ะ


รักษารอยสิวที่หลังอย่างไรดี? 

หลังเป็นสิว

การรักษารอยสิวที่หลังเป็นอีกหนึ่งสเตปที่หลายๆ ต้องจัดการต่อเมื่อรักษาสิวที่หลังหายดี หรืออยู่ในระดับความรุนแรงของสิวที่ไม่น่ากังวลแล้ว ซึ่งการรักษารอยสิวที่หลังไม่ว่าจะรอยดำ รอยแดงก็ถือเป็นการรักษาที่ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร ฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าการรักษารอยสิวที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้รอยสิวที่หลังลดเลือน แลดูจางลง จนหายไป มีวิธีอะไรกันบ้าง

  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามิน แร่ธาตุในการบำรุงร่างกายจากภายในก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษารอยสิวเลยค่ะ
  • ทาครีมกันแดด : การทาครีมกันแดดถือเป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยป้องกันรังสี UV ที่คอยทำร้ายผิวของเราแล้ว ยังช่วยลดรอยสิว รอยดำจากสิวที่หลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะครีมกันแดดนั้นยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ช่วยให้สีผิวเกิดความสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
  • ไม่แกะ เกา กด บีบสิวที่หลัง : หลายคนคิดว่าการแกะ เกา กด บีบสิวที่หลังจะยิ่งช่วยให้สิวยุบ สิวหาย กำจัดสิวให้ออกไปเร็วยิ่งขึ้น แต่จริงๆ แล้วการทำแบบนี้จะยิ่งทำให้ผิวบริเวณที่แกะ เกา กด บีบสิวเกิดความช้ำ จนผิวเกิดรอยดำ รอยแดง และทิ้งรอยไว้ให้เรารักษา ฉะนั้นใครที่เป็นสิวที่หลัง หรือต้องการรักษาสิวที่หลัง แนะนำว่าไม่ควรแกะ เกา กด บีบสิวที่หลังจะดีที่สุดค่ะ
  • ผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอ : การลดรอยสิวที่หลังอีกหนึ่งวิธีที่อยากแนะนำคือการผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอ โดยแนะนำว่าให้ผลัดเซลล์ผิวอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง อาจจะเลือกผลัดเซลล์ผิวในรูปแบบสครับ หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม AHA BHA ค่ะ
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวที่หลัง : หลายคนอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยสิวแต้มเฉพาะจุด โดยอาจเป็นในรูปแบบครีม หรือเซรั่มลดรอยสิว ซึ่งวิธีนี้สามารถช่วยให้รอยสิว รอยดำที่เกิดขึ้นจากสิวที่หลังจางลงจนน่าพึงพอใจได้ไม่แพ้กับวิธีอื่นๆ เลยค่ะ
  • ทำทรีตเมนต์ ลดรอยสิว : การทำทรีตเมนต์ ลดรอยสิวถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ช่วยลดรอยสิวได้ดีไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตามควรเข้ารับการทำทรีตเมนต์ อย่างสม่ำเสมอจึงจะทำให้รอยสิวจางลง และดีขึ้นค่ะ
  • เลเซอร์ลดรอยสิว : อยากให้รอยสิวหายเร็ว ใช้เวลาในการรักษาไม่นานเกินไปเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ  โดยเลเซอร์ลดรอยสิวจะปล่อยพลังงานเข้าไปทำให้เม็ดสีเมลานินเกิดการแตกตัว และสลายออกจากร่างกายตามธรรมชาติ ซึ่งการทำงานดังกล่าวถือเป็นการลดรอยสิวที่เห็นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ รักษาได้อย่างตรงจุด

ป้องกันการเกิดสิวที่หลังด้วยวิธีธรรมชาติ

แม้ว่าปัญหาสิวที่หลังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วก็สร้างความรำคาญใจให้เยอะพอสมควร แต่เราสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ให้อยู่หมัดได้ด้วยการป้องกันแบบธรรมชาติ ที่ขอบอกเลยว่าสิวที่หลังต้องกลัว โดยมีวิธีการง่ายๆ ดังต่อไปนี้ 

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 
  • หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่ทำให้บริเวณหลังเกิดความอับชื้น เกิดเหงื่อง่าย อาจทำให้เกิดสิวที่หลังได้มากขึ้น แนะนำให้สวมเสื้อผ้าที่หลวมๆ เนื้อผ้าสามารถระบายอากาศได้เป็นอย่างดี
  • ทำความสะอาดแผ่นหลังอยู่เสมอ
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน ไม่ว่าจะแชมพู สบู่ ครีมอาบน้ำ ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือเกิดการอุดตันต่อผิว
  • หากผมยาวควรสระผมอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ความสกปรกของเส้นผมทำให้เกิดสิวที่หลัง
  • แนะนำควรผลัดเซลล์ผิวที่หลังอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาบางชนิด เพราะอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลังมากขึ้นได้ เช่น ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมน Androgens

คำถามที่พบบ่อย 

ตอบคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับสิวที่หลังที่ทุกคนต้องอยากรู้

1. เป็นสิวที่หลังแบบไหนที่ควรปรึกษาแพทย์?

เรื่องสิวบางที่ก็ไม่จิ๋วนะคะ เพราะในบางครั้งความรุนแรงของสิวหากสังเกตว่าเกินความควบคุมของเราแล้วควรรีบปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด แล้วสิวที่หลังแบบไหนควรปรึกษาเป็นเรื่องที่หลายๆ คนสงสัยกันไม่น้อยเลยถูกมั้ยคะ โดยสิวที่หลังที่เมื่อเป็นแล้วควรปรึกษาแพทย์คือสิวที่หลังในระดับรุนแรงคือมีสิวอักเสบ สิวหัวช้าง สิวอุดตัน รวมไปถึง สิวอื่นๆ จำนวนมาก หากใครสังเกตลักษณะสิวที่หลังของตนเอง และเห็นว่าอยู่ในระดับความรุนแรงนี้แนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์แทนการรักษาสิวด้วยตัวเองนะคะ

2. สิวที่หลังเป็นไต แข็ง ทำอย่างไรดี? 

สิวที่หลังเป็นไต คือสิวอักเสบที่หลังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งขนาดใหญ่คล้ายสิวหัวช้าง จนทำให้หลายคนเป็นกังวล สิวที่หลังเป็นไตเกิดได้หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการอุดตันในรูขุมขนจากเหงื่อไคล หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้กับเส้นผมอาจทำให้เกิดความระคายเคือง การผลิตน้ำมันมากเกินไปจนทำให้แบคทีเรียเติบโต การใช้ยาบางชนิด และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น 

สิวที่หลังเป็นไต มีการอักเสบไม่รุนแรงเท่าสิวหัวช้าง แต่ควรรักษาให้ถูกวิธี เพื่อลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหลังรักษา โดยมีวิธีการรักษาหลายรูปแบบให้เลือกได้ตามความเหมาะสม เช่น การฉีดสิวด้วยคอร์ติโซน(Cortisone Injections) การใช้ยารักษาสิวตามคำแนะนำของแพทย์ หรือสามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง ด้วยการประคบเย็น รักษาความสะอาด และหลีกเลี่ยงแสงแดด


รักษาสิวที่หลังกับเรา

อย่าปล่อยให้การรักษาสิวที่หลังสร้างความกังวลใจ เลือกวิธีรักษาที่ใช่ เลือกรักษาสิวที่หลังกับรมย์รวินท์คลินิก ยิ่งใครที่อยากกลับมาใส่ชุดสวยๆ อวดแผ่นหลังที่เรียบเนียน ไร้สิว ไร้รอยแบบนี้ ถึงเวลาที่จะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาแล้ว

รักษาสิวที่หลัง กู้ผิวเนียนใสต้องโปรแกรม Back Clear ที่มีขั้นตอนการรักษาที่ช่วยจัดการทุกปัญหาสิวที่หลังให้อยู่หมัด ไม่กลับมาสร้างความรำคาญใจ เป็นอุปสรรคการแต่งตัวอีกต่อไปไม่ว่าจะการกำจัด และนำสิวออกให้ทั่วทุกบริเวณ พร้อมทั้งฉีดสิวเพื่อลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงการเกิดสิวใหม่ นอกจากนั้นยังมีการทำทรีตเมนต์ผลักตัวยา และวิตามิน ขาดไม่ได้เลยคือการจัดการรอยสิวให้หายเกลี้ยง ทุกขั้นตอนจะให้การรักษา ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มั่นใจได้เลยว่าสิวที่หลังที่ว่ายากก็จัดการได้แน่


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือปรึกษาปัญหากับแพทย์
ได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้
แชร์บทความนี้