บทความ
ปัญหารอบดวงตา

เปรียบเทียบ Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา วิธีไหนตอบโจทย์ปัญหารอบดวงตาได้อย่างเหมาะสม

เปรียบเทียบ Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา วิธีไหนตอบโจทย์ปัญหารอบดวงตาได้อย่างเหมาะสม

บริเวณรอบดวงตานับเป็นจุดแรกที่แสดงสัญญาณแห่งวัยได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตา ร่องลึกที่ดูโทรม หรือผิวเปลือกตาที่เริ่มหย่อนคล้อย ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อภาพรวมของใบหน้าอย่างมาก จึงไม่แปลกใจที่ใครหลายคนเริ่มมองหาวิธีแก้ปัญหาผิวรอบดวงตาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อคงความสดใสของดวงตา

 

ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีและหัตถการที่ได้รับความนิยมในการดูแลผิวรอบดวงตาหลายวิธี โดยเฉพาะ Thermage Eye และ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป เหมาะกับปัญหาที่ไม่เหมือนกัน ในบางคนอาจต้องการยกกระชับผิวรอบดวงตาโดยไม่ฉีดสารเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่บางคนอาจต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วในการเติมเต็มร่องลึกให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น

 

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจ Thermage Eye และฟิลเลอร์ตา แตกต่างกันอย่างไร? เหมาะกับใคร ข้อดีของแต่ละวิธี รวมถึงวิธีการเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางดูแลผิวรอบดวงตาได้อย่างมั่นใจ

 

เข้าใจปัญหาผิวรอบดวงตา จุดเริ่มต้นของความหมองและหย่อนคล้อย

บริเวณรอบดวงตาเป็นหนึ่งในจุดที่ผิวบางและบอบบางบนใบหน้า โครงสร้างผิวในบริเวณนี้มีไขมันใต้ผิวน้อย เนื้อเยื่ออ่อนมีความยืดหยุ่นต่ำ เมื่ออายุเพิ่มขึ้นหรือร่างกายได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ผิวรอบดวงตามักจะแสดงสัญญาณความร่วงโรยก่อนส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยคล้ำ ริ้วรอย ร่องน้ำตา หรือเปลือกตาหย่อนคล้อย ซึ่งล้วนส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนล้า เหนื่อย และมีอายุมากกว่าความเป็นจริง

 

ปัญหาที่พบได้บ่อยบริเวณรอบดวงตา มีดังนี้

  • ร่องใต้ตา มักเกิดจากโครงสร้างกระดูกเบ้าตาลึก และการสูญเสียคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ใต้ตาดูเป็นร่อง เงาลึก
  • ริ้วรอยเล็ก ๆ เกิดจากการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ ของกล้ามเนื้อตา รวมถึงการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวตามวัย
  • ความหมองคล้ำ อาจเกิดจากพันธุกรรม การไหลเวียนเลือดไม่ดี หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ถุงใต้ตา เกิดจากไขมันสะสมหรือผิวที่หย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วง
  • เปลือกตาตก หางตาตก สะท้อนการเสื่อมของผิวหนังชั้นตื้นและชั้นลึก ซึ่งมีผลต่อการแสดงออกและบุคลิกภาพ

 

ส่วนปัจจัยที่เร่งให้เกิดปัญหานี้เร็วขึ้น ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น แสงแดด การพักผ่อนน้อย พฤติกรรมการขยี้ตา รวมถึงการใช้ครีมบำรุงไม่เหมาะสม ซึ่งล้วนเร่งให้ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินเร็วขึ้น ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและหย่อนคล้อยในที่สุด

 

Thermage Eye คืออะไร? ช่วยรอบดวงตาอย่างไร?

Thermage Eye คืออะไร? ช่วยรอบดวงตาอย่างไร?

 

Thermage Eye คืออะไร? ช่วยรอบดวงตาอย่างไร?

Thermage Eye คือเทคโนโลยียกกระชับผิวรอบดวงตาแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF ที่มีความสามารถในการส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) และ ชั้นไขมัน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ พร้อมทั้งจัดเรียงเส้นใยคอลลาเจนให้กลับมาแน่นกระชับมากขึ้น

 

จุดเด่นของ Thernage Eye คือหัวทิปที่ออกแบบมาสำหรับบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ ทำให้สามารถส่งพลังงานได้แม่นยำ ควบคุมความลึกของคลื่นความร้อนได้อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ทำให้ผิวหนังชั้นนอกเกิดความเสียหาย

 

การทำ Thermage Eye จะให้ความรู้สึกอุ่นใต้ผิวในขณะทำ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพลังงานกำลังลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพักฟื้นหรือใช้เข็ม จึงเป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่กังวลเรื่องริ้วรอย ถุงใต้ตา หรือความหย่อนคล้อยรอบดวงตาในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง

 

ผลลัพธ์ที่ได้จาก Thermage Eye

การทำ Thermage Eye จะไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่จะค่อย ๆ แสดงผลชัดเจนขึ้นในช่วง 1-2 เดือนหลังทำ เนื่องจากเป็นกระบวนการฟื้นฟูที่อาศัยการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่จากภายในผิว ผลลัพธ์ของ Thermage Eye สามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี แล้วแต่สภาพผิวและการดูแลหลังทำ  โดยผลลัพธ์ที่สังเกตได้หลังจากทำ Thermage Eye มีดังนี้

  • ผิวรอบดวงตาดูกระชับและแน่นขึ้น
  • ลดริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหางตา ใต้ตา และเปลือกตาบน
  • หางตาดูยกขึ้น ทำให้ดวงตาดูเปิดกว้างขึ้น
  • ถุงใต้ตาที่เกิดจากความหย่อนคล้อยจะดูตึงกระชับขึ้น
  • เปลือกตาบนที่หย่อนลงดูตึงขึ้น

 

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร? แก้ใต้ตาลึกได้อย่างไร?

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร? แก้ใต้ตาลึกได้อย่างไร?

 

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร? แก้ใต้ตาลึกได้อย่างไร?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมสำหรับแก้ปัญหาใต้ตาลึก ร่องน้ำตา และความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา โดยการใช้สาร Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณร่องลึก เพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียน เต็มอิ่ม และดูสดใสขึ้นหลังทำ

 

Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย โดยเฉพาะในผิวหนังชั้นลึก ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเติมเต็มเนื้อเยื่อและเก็บความชุ่มชื้น เมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณ Hyaluronic Acid (HA) ในผิวจะลดลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและเกิดร่องลึกต่าง ๆ การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นการชดเชย Hyaluronic Acid (HA) ที่ลดลงแบบไม่เสี่ยงอันตราย

 

ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แพทย์จะประเมินระดับความลึกของร่องใต้ตา ชนิดของฟิลเลอร์ที่มีความเหมาะสมกับบริเวณที่ผิวบาง และฉีดด้วยแนวทางที่ออกแบบมาเพื่อผิวบริเวณนี้โดยเฉพาะ เช่น การฉีดด้วยเข็มปลายทู่ เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำหรือบวมหลังทำ

 

จุดเด่นของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือสามารถเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถปรับรูปทรงของใต้ตาให้ดูอิ่มเอิบขึ้นได้แบบดูกลมกลืนกับใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกรณีที่ร่องลึกใต้ตาชัดเจนแต่ผิวยังไม่หย่อนคล้อยมาก

 

ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ผลลัพธ์สามารถเห็นผลความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่หลังทำ โดยร่องลึกบริเวณใต้ตาและร่องน้ำตาจะดูตื้นขึ้น ผิวบริเวณนั้นเรียบเนียนและอิ่มฟูขึ้นอย่างชัดเจน ส่งผลให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม ไม่อ่อนล้า

นอกจากนี้ ยังช่วยลดความหมองคล้ำใต้ตาในบางกรณีได้ หากสาเหตุของใต้ตาคล้ำเกิดจากเงาร่องลึกมากกว่าผิวบางหรือเส้นเลือดฝอย โดยรวมแล้วทำให้ใบหน้าดูสดชื่นขึ้นและดูมีชีวิตชีวามากขึ้นหลังจากฉีด

ระยะการคงของผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ใต้ตา อยู่ที่ประมาณ 6-12 เดือน แล้วแต่ชนิดของฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ และสภาพผิวแต่ละบุคคล ซึ่งฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถเติมซ้ำได้

 

เปรียบเทียบความแตกต่างของ Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา

เปรียบเทียบความแตกต่างของ Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา

 

เปรียบเทียบความแตกต่างของ Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา

Thermage Eye และ ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นสองวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหารอบดวงตา แม้จะมีจุดมุ่งหมายที่คล้ายกัน แต่วิธีที่ใช้และผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกันอย่างชัดเจน

  • Thermage Eye เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณหางตา ริ้วรอย และเปลือกตาที่เริ่มตก ในขณะที่ฟิลเลอร์ใต้ตาใช้การฉีดสาร Hyaluronic Acid เข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อเติมเต็มร่องลึกบริเวณใต้ตาและร่องน้ำตา ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและลดความโทรมลงได้ในระยะเวลาอันสั้น
  • ผลลัพธ์ของ Thermage Eye จะค่อย ๆ แสดงให้เห็นภายใน 1-2 เดือนหลังทำ เนื่องจากเป็นการฟื้นฟูที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ตามธรรมชาติ ส่วนฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้หลังทำเสร็จ โดยเฉพาะในเรื่องของความเรียบเนียนและร่องที่ดูตื้นขึ้น
  • ในด้านระยะเวลาของผลลัพธ์ Thermage Eye ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ในขณะที่ฟิลเลอร์ใต้ตาจะคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และสภาพผิวของแต่ละคน
  • ลักษณะปัญหาที่เหมาะสม Thermage Eye จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย และหางตาตก ส่วนฟิลเลอร์ใต้ตาจะเหมาะกับผู้ที่มีร่องใต้ตาลึกหรือร่องน้ำตาชัดเจน โดยไม่มีผิวหย่อนคล้อยมาก
  • ส่วนค่าใช้จ่ายในการทำ Thermage Eye จะมีราคาต่อครั้งที่อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง เนื่องจากใช้เทคโนโลยีเฉพาะและหัวทิปที่ออกแบบมาเพื่อรอบดวงตา ส่วนฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีราคาปานกลาง และสามารถเลือกปริมาณตามงบประมาณได้ในบางกรณี

โดยสรุปแล้ว ทั้งสองวิธีต่างมีข้อดีและข้อจำกัดของตนเอง การเลือกใช้จึงควรพิจารณาจากลักษณะของปัญหาเป้าหมาย งบประมาณ และความคาดหวังของผลลัพธ์ที่ต้องการ พร้อมทั้งควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม

 

รวมข้อดีของ Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา

ข้อดีของ Thermage Eye

  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติจากภายใน
  • ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
  • ไม่ต้องฉีด ไม่ใช้เข็ม ไม่ต้องพักฟื้น
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผลหลังทำ
  • ผิวรอบดวงตาดูตึงกระชับขึ้น
  • ลดริ้วรอยใต้ตาและหางตาได้ดี
  • ช่วยยกเปลือกตาที่หย่อนเล็กน้อย
  • ลดถุงใต้ตาที่เกิดจากความหย่อนคล้อย
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1–2 ปี
  • ใช้ได้กับผิวทุกประเภท
  • หัวทิปออกแบบเฉพาะสำหรับบริเวณรอบดวงตา
  • ไม่เสี่ยงเป็นก้อนหรือเปลี่ยนรูป
  • ใช้ได้กับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง
  • ช่วยปรับมิติรอบดวงตาให้ดูยกขึ้นโดยไม่ทำให้เปลี่ยนโครงหน้า

ข้อดีของฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตาและร่องน้ำตาได้ชัดเจน
  • สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่หลังทำ
  • ผิวบริเวณใต้ตาดูเรียบเนียนและเต็มอิ่มขึ้น
  • ใบหน้าดูสดใสขึ้น ลดความโทรม
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีใต้ตาลึกแต่ผิวยังไม่หย่อน
  • ปรับรูปทรงใต้ตาให้สมดุลกับใบหน้า
  • ใช้เวลาทำน้อย ใช้เวลาเพียง 15–30 นาที
  • ไม่ต้องผ่าตัด
  • มีฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกให้เหมาะกับผิวใต้ตา
  • ปรับปริมาณได้ตามความลึกของปัญหา
  • หากไม่พอใจผลลัพธ์สามารถฉีดสลายได้
  • ฟื้นตัวเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับลุคให้ดูสดใสในเวลาอันรวดเร็ว
  • ช่วยพรางความคล้ำใต้ตาในบางกรณี

 

Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยอะไรบ้าง?

Thermage Eye ช่วยอะไรบ้าง?

  • ยกกระชับผิวรอบดวงตาโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ลดริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณใต้ตาและหางตา
  • ฟื้นฟูคอลลาเจนในชั้นผิวลึก
  • ทำให้ผิวรอบดวงตาดูแน่น กระชับ และเรียบเนียนขึ้น
  • ยกเปลือกตาบนที่เริ่มตกจากอายุหรือแรงโน้มถ่วง
  • ปรับมิติของดวงตาให้ดูเปิดกว้างมากขึ้น
  • ลดถุงใต้ตาที่เกิดจากความหย่อนคล้อยของผิว
  • ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
  • ฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม
  • กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและเมตาบอลิซึมใต้ผิว
  • ช่วยให้เมคอัพใต้ตาเกาะผิวดีขึ้นเมื่อผิวเรียบ
  • ลดความหย่อนคล้อยบริเวณหางตาและขมับ
  • เสริมความสดใสให้ใบหน้าโดยรวมจากการยกผิวรอบดวงตา

 

ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยอะไรบ้าง?

  • เติมเต็มร่องลึกบริเวณใต้ตาและร่องน้ำตา
  • ทำให้ใต้ตาดูเรียบเนียน อิ่มฟู
  • ลดความหมองคล้ำที่เกิดจากเงาร่องลึก
  • ใบหน้าดูสดใสขึ้น ไม่ดูโทรมหรืออ่อนล้า
  • เพิ่มความอ่อนวัยให้กับบริเวณใต้ตา
  • แก้ไขโครงสร้างเบ้าตาลึกที่มีมาตั้งแต่กำเนิด
  • ช่วยให้ผิวใต้ตาตึงขึ้นจากการเติมมวลผิว
  • ช่วยปรับลุคให้ดูสดชื่นขึ้น
  • ใช้แก้ไขความไม่สมดุลใต้ตาทั้งสองข้าง
  • ช่วยสร้างความมั่นใจเมื่อถ่ายรูปใกล้หรือแต่งหน้าน้อย

 

Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง?

Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง?

 

Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง?

Thermage Eye เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • ผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยใต้ตา รอยย่นหางตา หรือร่องใต้ตาตื้น ๆ
  • ผู้ที่มีถุงใต้ตาที่เกิดจากความหย่อนของผิว ไม่ใช่ร่องลึก
  • ผู้ที่เปลือกตาบนตกเล็กน้อย อยากให้ดวงตาดูเปิดกว้างขึ้น
  • ผู้ที่ไม่ต้องการฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่ผิว
  • ผู้ที่กลัวเข็ม หรือไม่สะดวกทำหัตถการแบบใช้เข็ม
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากการกระตุ้นคอลลาเจน
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1–2 ปี โดยไม่ต้องทำบ่อย
  • ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว และเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยซ้ำ
  • ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวรอบดวงตาโดยรวม ไม่เน้นเติมเต็มเฉพาะจุด
  • ผู้ที่อยากได้ผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เปลี่ยนทันที
  • ผู้ที่มีเวลาน้อย ไม่ต้องการพักฟื้นหลังทำ
  • ผู้ที่มีอายุประมาณ 30–45 ปี ที่เริ่มมีสัญญาณผิวร่วงโรย
  • ผู้ที่มองหาวิธีดูแลรอบดวงตาแบบไม่ต้องผ่าตัด

 

ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่มีปัญหาร่องน้ำตาชัด
  • ผู้ที่ใต้ตาดูโทรม อ่อนล้า 
  • ผู้ที่มีปัญหาเบ้าตาลึก
  • ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนลุคให้สดใสขึ้น
  • ผู้ที่อยากแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ร่องใต้ตา
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้เร็ว
  • ผู้ที่เคยทำหัตถการอื่นแล้ว แต่ยังมีร่องใต้ตาไม่เรียบ
  • ผู้ที่มีอายุประมาณ 25–40 ปี ที่เริ่มมีร่องลึกแต่ผิวยังแน่น
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปตาให้ดูเรียบเนียนและสดใสขึ้น

 

หมายเหตุ

การเลือกวิธีแก้ปัญหารอบดวงตา ควรได้รับการประเมินจากแพทย์อย่างเหมาะสม เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้า ความลึกของร่องใต้ตา สภาพผิว และความยืดหยุ่นโดยรวม ดังนั้น การเลือกวิธีที่เหมาะสมย่อมช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูดี และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

 

Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

Thermage Eye ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีร่องใต้ตาลึกมาก โดยไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยร่วมด้วย
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบเปลี่ยนแปลงชัดเจนในเวลาอันรวดเร็ว
  • ผู้ที่ไม่สามารถรอผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปได้
  • ผู้ที่มีผิวบางระดับลึกมาก จนอาจตอบสนองต่อคลื่นพลังงานได้น้อย
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าหรือมีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
  • ผู้ที่มีแผลอักเสบ แผลติดเชื้อ หรือผื่นแพ้บริเวณรอบดวงตา
  • ผู้ที่เคยทำศัลยกรรมรอบตา แล้วมีพังผืดหรือแผลแข็งผิดปกติ
  • ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดยกเปลือกตา
  • ผู้ที่มีปัญหาภายในชั้นกล้ามเนื้อที่ต้องแก้ไขด้วยวิธีทางศัลยกรรม
  • ผู้ที่มีผิวไวต่อความร้อนหรือมีประวัติแพ้การกระตุ้นคอลลาเจน

 

ฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 
  • ผู้ที่มีผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อยมาก จนการเติมเต็มไม่ช่วยให้ผิวใต้ตาเรียบ
  • ผู้ที่มีถุงใต้ตาเด่นชัดจากไขมันสะสม ไม่ใช่ร่องลึก
  • ผู้ที่มีปัญหาโครงกระดูกเบ้าตาที่ลึกมากเกินไป
  • ผู้ที่ผิวรอบดวงตาบางมาก จนเสี่ยงเกิดฟิลเลอร์เป็นก้อนหรือคลื่น
  • ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้วเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น บวมแข็ง สีคล้ำ หรือเคลื่อนที่
  • ผู้ที่มีภูมิแพ้หรือเคยมีประวัติแพ้สาร Hyaluronic Acid
  • ผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยขึ้นชัดเจนใต้ผิว อาจเกิดรอยช้ำง่ายเมื่อฉีด
  • ผู้ที่มีโรคผิวหนังหรือผื่นอักเสบที่ยังไม่หายบริเวณใต้ตา
  • ผู้ที่มีปัญหาภาวะเลือดออกง่าย หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เหมือนการผ่าตัดหรือดึงหน้าชัดเจน

 

หมายเหตุ

ข้อจำกัดในการทำ Thermage Eye และฟิลเลอร์ใต้ตา อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า ประวัติการรักษา และสุขภาพทั่วไป การประเมินโดยแพทย์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม และให้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง

 

การเตรียมตัวก่อนทำ Thermage Eye และ ฟิลเลอร์ใต้ตา

การเตรียมตัวก่อนทำ Thermage Eye

  • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวบริเวณรอบดวงตา
  • ควรแจ้งประวัติการแพ้ หรือโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ หรือหากมีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
  • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนวันทำ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ หรือกรดผลไม้บริเวณรอบดวงตา 3–5 วันก่อนทำ
  • หลีกเลี่ยงการอาบแดดหรือทำทรีตเมนต์ร้อน เช่น ซาวน่า 1 สัปดาห์ก่อนทำ
  • งดใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคืองก่อนวันทำ
  • งดแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตาในวันทำ

 

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว ความลึกของร่อง และเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
  • ควรแจ้งประวัติการแพ้ยา หรือสารเคมี โดยเฉพาะสารกลุ่ม Hyaluronic Acid
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนวันนัด
  • ควรล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน และไม่สครับหรือขัดผิวก่อนทำ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพริน วิตามิน E หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น ใบแปะก๊วย, โสม) อย่างน้อย 3–7 วันก่อนทำ
  • งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด
  • หลีกเลี่ยงเลเซอร์ นวดหน้า หรือทรีตเมนต์อื่น ๆ บริเวณใบหน้า 3–5 วันก่อนทำ
  • งดแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตาในวันเข้ารับบริการ

 

ดูแลตัวเองหลังทำ Thermage Eye และฟิลเลอร์ใต้ตา

การดูแลตัวเองหลังทำ Thermage Eye

  • ควรดื่มน้ำปริมาณมากเพื่อช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้เต็มที่
  • ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตาที่อ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้คอนแทคเลนส์ใน 24 ชั่วโมงแรก
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วง 2–3 วันแรก
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณรอบดวงตาด้วยแรงกดหรือการขยี้
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และควรทาครีมกันแดดทุกวัน
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน อบไอน้ำ หรือซาวน่า อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดการใช้เครื่องสำอางหรือครีมรอบดวงตาที่มีส่วนผสมรุนแรง 2–3 วัน
  • งดการนวดหน้า หรือทำทรีตเมนต์อื่น ๆ บริเวณรอบดวงตา 1–2 สัปดาห์
  • งดใช้สครับหรือมาสก์บริเวณรอบดวงตาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1–2 วันหลังทำ

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวดีขึ้น
  • งดการใช้เครื่องสำอางบริเวณใต้ตา 1–2 วัน
  • งดการแกะ เกา หรือขยี้บริเวณที่ฉีด
  • งดการทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่น ๆ บริเวณใบหน้า อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ 24–48 ชั่วโมงหลังทำ
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ความร้อน ซาวน่า และอบไอน้ำอย่างน้อย 3–5 วัน
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 1–2 วัน เพื่อป้องกันการไหลของฟิลเลอร์
  • หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงทับด้านที่ฉีดในคืนแรก
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนักหรือใช้ผลิตภัณฑ์แรงๆ ร่วมกับบริเวณใต้ตา
  • หลีกเลี่ยงการใช้คอนแทคเลนส์ในวันแรก

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Thermage Eye และฟิลเลอร์ใต้ตา

ทำ Thermage Eye เจ็บไหม?

  • Thermage Eye อาจให้ความรู้สึกอุ่นหรือร้อนลึก ๆ ใต้ผิวในขณะทำ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพลังงานกำลังลงลึกสู่ชั้นหนังแท้ อย่างไรก็ตาม เครื่อง Thermage มักมาพร้อมระบบช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย และสามารถใช้ยาชาก่อนทำเพื่อลดอาการระคายเคืองได้ ผู้รับบริการส่วนใหญ่สามารถทนได้โดยไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ

ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายหรือเปล่า?

  • หัตถการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือว่าอยู่ในระดับความเสี่ยงต่ำ หากดำเนินการโดยแพทย์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ และเลือกเทคนิคที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มปลายทู่เพื่อลดโอกาสกระทบเส้นเลือด อย่างไรก็ตาม หากฉีดผิดชั้น หรือใช้สารไม่ได้มาตรฐาน อาจเสี่ยงเกิดปัญหา เช่น บวมเป็นก้อน รอยคล้ำ หรือแม้แต่เส้นเลือดอุดตันได้ จึงควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานอย่างรอบคอบ

Thermage Eye กับฟิลเลอร์ใต้ตา ทำร่วมกันได้ไหม?

  • สามารถทำร่วมกันได้ในบางกรณี โดยขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ ตัวอย่างเช่น อาจใช้ฟิลเลอร์ในการเติมร่องลึก และใช้ Thermage Eye เพื่อยกกระชับผิวรอบดวงตาที่เริ่มหย่อน การทำร่วมกันในช่วงเวลาที่เหมาะสมสามารถเสริมผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้นได้ แต่ควรเว้นระยะห่างของการทำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อกัน

อายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มทำ Thermage Eye และฟิลเลอร์ใต้ตา?

  • โดยทั่วไป สามารถเริ่มทำ Thermage Eye ได้ตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป หากเริ่มมีสัญญาณของผิวหย่อนคล้อยหรือริ้วรอยรอบดวงตา ส่วนฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ ช่วงวัย 20 ปลาย ๆ ถึง 30 ต้น ๆ ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาลึก ร่องน้ำตา หรือความโทรมที่ชัดเจน ซึ่งอาจเกิดได้แม้ยังอายุไม่มาก การเริ่มดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยชะลอการเสื่อมของผิวในระยะยาว

Thermage Eye และฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องทำบ่อยแค่ไหน?

  • Thermage Eye ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานประมาณ 1–2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและพฤติกรรมการดูแลผิว หากต้องการคงผลลัพธ์ไว้อย่างต่อเนื่อง อาจทำซ้ำปีละครั้ง
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา มักคงอยู่ประมาณ 6–12 เดือน และสามารถเติมซ้ำได้เมื่อฟิลเลอร์เริ่มสลาย โดยไม่ต้องรอให้ฟิลเลอร์หายไปจนหมดก่อนค่อยเติม

 

สรุปเปรียบเทียบ Thermage Eye vs ฟิลเลอร์ใต้ตา เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์?

ปัญหารอบดวงตาไม่ว่าจะเป็นร่องลึก ริ้วรอย หรือความหย่อนคล้อย ล้วนส่งผลต่อภาพรวมของใบหน้าและบุคลิกภาพอย่างชัดเจน การดูแลผิวในบริเวณนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความงามเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นใจในชีวิตประจำวันด้วย

Thermage Eye และฟิลเลอร์ใต้ตา ต่างก็เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในแบบของตัวเอง Thermage Eye เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่เติมสารใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย พร้อมฟื้นฟูผิวจากภายใน ขณะที่ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่มีร่องลึกใต้ตาและต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว เติมเต็มร่องลึกให้ผิวกลับมาเรียบเนียนและดูสดใสอีกครั้ง

สิ่งสำคัญคือการเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับปัญหา สภาพผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล โดยอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ เพื่อให้มั่นใจในผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด การดูแลรอบดวงตาอย่างถูกต้องย่อมช่วยให้คุณกลับมามีใบหน้าที่สดใสและมั่นใจได้ในทุกช่วงวัย

[elementor-template id="15452"]