เลเซอร์กำจัดขน

ครีมกำจัดขนดีจริงหรือไม่ ?

____ไม่ว่าใครก็ต้องการมีผิวเรียบเนียนเพื่อเผยผิวใสๆ และก็คงไม่มีใครอยากให้มีเส้นขนรุงรังโผล่ออกมาขัดหูขัดตาอย่างแน่นอน ครีมกำจัดขน จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่หลายคนเลือกใช้ในการกำจัดขน เพราะเป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็ว และประหยัด แต่หลายคนที่ใช้ครีมจัดขนอยู่ก็ยังแอบมีข้อสงสัยว่า ใช้ครีมกำจัดขนไปเรื่อยๆจะดีหรือไม่? ปลอดภัยแน่หรือเปล่า? มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่? วันนี้เรามาเจาะลึกข้อดี ข้อเสีย ของครีมกำจัดขนกันค่ะ

หัวข้อ … ครีมกำจัดขน

ครีมกำจัดขนทำงานอย่างไร ?

 class=

____ครีมกำจัดขนคือ ครีมที่มีส่วนผสมของตัวยากำจัดขน แคลเซียม ไทโอไกลโคเลท (Calcium Thioglycolate) หรือโซเดียม ไทโอไกลโคเลท (Sodium Thioglycolate) อยู่ในเนื้อครีม ทำให้มีส่วนประกอบของแคลเซียม ไฮดรอกไซด์ (Calcium Hydroxide) ที่เป็นสารเคมีอยู่ในปริมาณสูง จึงมีความเป็นด่างสูงมาก และมีกลิ่นค่อนข้างฉุน

____หลักการทำงานของครีมคือ เมื่อทาครีมไปที่เส้นขนที่ต้องการกำจัด ตัวยา Calcium Thioglycolate จะทำหน้าที่ไปละลายโครงสร้างโปรตีนเคราตินในเส้นขน ทำให้เส้นขนละลายขาดออกจากกันจนสามารถเช็ดแล้วหลุดออกมาได้โดยง่าย แต่จะสามารถกำจัดเส้นขนได้เฉพาะที่งอกออกมาอยู่เหนือผิวหนังเท่านั้น รากผมยังอยู่ใต้ผิวเหมือนเดิม ไม่ได้ถูกทำลายหรือกำจัดไปด้วย ทำให้ได้ผลลัพธ์ในการกำจัดขนค่อนข้างสั้นคล้ายกับวิธีการโกน คือขนหายไปไม่เกิน 2-3 วัน ก็งอกขึ้นมาใหม่แล้ว

____นอกจากนั้นด้วยฤทธิ์ที่เป็นด่างสูงของครีมกำจัดขน หากสัมผัสกับผิวหนังเป็นเวลานานๆอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ อีกทั้งผิวหนังของเราก็มีส่วนประกอบของโปรตีนเคราตินเช่นกัน ทำให้เมื่อใดที่เรากำจัดขน เคราติน ที่ผิวหนังของเราก็จะถูกกำจัดไปด้วยบางส่วนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ข้อดีของครีมกำจัดขน

  • เป็นวิธีที่ประหยัดเงิน และผลิตภัณฑ์สามารถหาซื้อได้ง่าย
  • ประหยัดเวลา ทำเองได้ง่ายๆ และเห็นผลรวดเร็ว ทำเสร็จภายในเวลาเพียง 10-15 นาที

ข้อเสียของครีมกำจัดขน

  • ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นฉุนจากสารเคมี หากใครไม่ชอบกลิ่นแรงๆแนะนำให้ใส่แมสก์ไว้ระหว่างทำ
  • หากผิวเซนซิทีฟ แพ้ง่ายอาจจะเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากเนื้อครีมมีฤทธิ์เป็นด่างสูง
  • ได้ผลสั้นๆเท่านั้น เพราะไม่ได้ทำลายรากขน ซึ่งขนจะงอกขึ้นมาใหม่เร็วมาก ภายใน 2-3 วัน

5 คำแนะนำควรรู้ก่อนใช้ครีมกำจัดขน!

 class=

____การกำจัดขนด้วยวิธีใช้ครีมกำจัดขนดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายแต่จริงๆแล้วเต็มไปด้วยข้อควรระวัง และรายละเอียดที่ต้องใส่ใจมากมายไม่ใช่แค่ปาดๆเช็ดๆ หากต้องการกำจัดขนให้ถูกวิธี และได้ผลลัพธ์ที่ดีลองทำตาม 5 ข้อแนะนำนี้ค่ะ

  1. เทสก่อนว่าแพ้หรือไม่
    ก่อนการใช้งานครีมกำจัดขนที่ยังไม่เคยลองมาก่อน ควรเริ่มจากการทดสอบอาการแพ้ก่อนเป็นอันดับแรก โดยลองทาเนื้อครีมตรงบริเวณที่ต้องการกำจัดขน บริเวณเล็กๆพอ ทิ้งไว้ตามเวลาที่ระบุไว้บนฉลากของครีมยี่ห้อนั้นๆ จากนั้นเช็ดเนื้อครีมออก แล้วสังเกตอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น หากไม่มีอาการใดๆภายใน 24 ชั่วโมง ถือว่าไม่แพ้ แต่หากมีอาการแสบ ไหม้ บวม แดง ควรหยุดใช้ครีมยี่ห้อนั้นเลยค่ะ
  1. ดูข้อบ่งใช้ที่กำหนดไว้ในฉลากอย่างละเอียด
    อ่านก่อนว่าครีมกำจัดขนอันนี้สามารถใช้ได้กับผิวส่วนไหนได้บ้าง เช่น บางยี่ห้อมีความเข้มข้นสูง ห้ามใช้บนใบหน้าจะใช้ได้กับเส้นขนตามแขน ขาเท่านั้น หรือไม่แนะนำให้ใช้กับเส้นขนบริเวณใต้ร่มผ้าที่ผิวมีความอ่อนบาง เป็นต้น รวมถึงเลือกครีมกำจัดขนที่มีความเข้มข้นเหมาะสมกับตำแหน่งที่ต้องการใช้ โดยทำตามข้อบ่งใช้ และคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด
  1. อย่าเช็ดออกเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป
    โดยเวลาที่ฉลากระบุ เป็นว่าเวลาที่ทางผลิตภัณฑ์นั้นๆได้ทำการทดสอบกับคนกลุ่มใหญ่มาแล้วว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกำจัดขน หากเช็ดออกเร็วเกินไป โครงสร้างโปรตีนเคราตินในเส้นขนอาจจะยังไม่สลายตัว ทำให้ขนไม่หลุด ในทางกลับกันถ้าทิ้งไว้นานเกินไป ตัวยาก็จะไปทำลายเนื้อเยื่อที่ผิวของเราไปด้วย ทำเกิดเกิดอาการแพ้ และระคายเคืองได้
  1. ทำความสะอาดผิวให้สะอาดเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
    การใช้ครีมกำจัดขนให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดคือ ต้องทำเวลาที่ผิวแห้งและสะอาด เพราะน้ำมันส่วนเกินที่ผิว หรือความมันที่เกิดจากบอดี้โลชั่น หรือครีมบำรุงใดๆ จะเป็นตัวขวางกั้นให้ครีมกำจัดขนมีประสิทธิภาพลดลง แต่การทำความสะอาดผิวก่อนการกำจัดขนต้องเป็นการทำความสะอาดแบบอ่อนโยน ด้วยสบู่อ่อนๆ ซับเบาๆให้แห้งสนิทก็พอนะคะ ไม่ต้องขัดถูก หรือฟอกสบู่แรงๆจะยิ่ง เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวระคายเคืองมากยิ่งขึ้นระหว่างกำจัดขนค่ะ
  1. เช็ดออกให้ถูกวิธี และไม่ใช้ถี่เกินไป
    ขั้นตอนสุดท้ายคือการเช็ดเส้นขนออกก็มีความสำคัญมาก ให้ใช้วิธีการเช็ดออก หรือปาดออกเป็นแนวเดียว ไม่เช็ดวนไปวนมา หรือปาดกลับไปกลับมา เพราะอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ รวมถึงไม่แนะนำให้ใช้ซ้ำบ่อยๆในบริเวณเดียวกันถี่เกินไป ควรเว้นให้เซลล์ผิวมีการพักอย่างน้อย 7 วัน

กำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์ที่ดีที่สุด
กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ Romrawin Clinic 

____การกำจัดขนด้วยเลเซอร์เป็นวิธีกำจัดขนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบัน และหากเข้าโปรแกรมสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ก็จะสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวรไม่มีขนขึ้นมากวนใจอีก ช่วยให้คุณหมดปัญหากวนใจทั้งในเรื่องการโกน การใช้ครีมกำจัดขน อาการระคายเคือง ผื่นแดงหลังโกน และสิวขนคุดได้ อีกทั้งการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ยังสามารถกำจัดเส้นขนได้อย่างเรียบเนียน

____ที่ Romrawin Clinic เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์กำจัดขนโดยเฉพาะ รวมถึงใช้เทคโนโลยีกำจัดขนใหม่ล่าสุดด้วย Gentel Yag Laser ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดขนอย่างเฉพาะเจาะจงโดยการส่งพลังงานเลเซอร์ลงลึกได้ถึงรากขน โดยเม็ดสีที่เส้นขน และเม็ดสีที่รากขนจะดูดซับพลังงานเลเซอร์เข้าไป ทำให้สามารถทำลายเซลล์รากขนให้ตายได้ โดยพลังงานจะไม่กระทบกับผิวชั้นบน หรือผิวหนังโดยรอบเลย จึงสามารถกำจัดขนได้อย่างเจาะจง และมีประสิทธิภาพ รวมถึงป้องกันไม่ให้เส้นขนใหม่งอกขึ้นมาอีก ได้ผลดี อ่อนโยน ไม่มีการเบิร์น ปลอดภัยที่สุดในขณะนี้ แล้วยังช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้นด้วย

____เทคโนโลยีรุ่นใหม่นี้ยังมีระบบลดความเจ็บ และอาการระคายเคืองในตัว โดยการพ่น Cryogen Spray ที่มีความเย็น -27 องศาเซลเซียส ลงมาปกคลุมผิวหนังชั้นบนขณะยิงเลเซอร์กำจัดขน จึงทำให้ผิวหนังชั้นบนรู้สึกชา ไม่รู้สึกเจ็บขณะยิงเลเซอร์ และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองหลังทำเลเซอร์อีกด้วยค่ะ

____โดยสรุปคือการกำจัดขนด้วยครีมกำจัดขนนั้นเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกรวดเร็วก็จริงอยู่แต่ก็เป็นวิธีมีที่ประสิทธิภาพไม่ได้ดีมากนัก เพราะนอกจากผลลัพธ์จะอยู่ได้ไม่กี่วันแล้ว ยังต้องเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว และอาการแพ้สารเคมีอีกด้วย หากคุณต้องการกำจัดขนให้หมดไปอย่างถาวร ให้ลองพิจารณาวิธีการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ดูค่ะ เพราะเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่เจ็บ และเป็นวิธีการกำจัดขนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในตอนนี้แล้ว หรือถ้ายังไม่มั่นใจเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสียของเลเซอร์กำจัดขน ลองเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการกำจัดขนที่ Romrawin Clinic ก่อนได้ค่ะ

หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ
สามารถปรึกษาเราได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก

???? โทร.080-1539000 และ  080-1549000
???? Line@ : @Romrawinclinic

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือปรึกษาปัญหากับแพทย์
ได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้
แชร์บทความนี้