บทความ
รอยเหี่ยวย่นเกิดจากอะไร

รอยเหี่ยวย่นเกิดจากอะไร? สาเหตุและวิธีดูแลผิวให้ดูอ่อนวัย

เมื่อมองกระจกแล้วเห็นรอยเหี่ยวย่นหรือริ้วรอยบนใบหน้า หลายคนอาจรู้สึกกังวลใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิว เพราะสัญญาณเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ยังบ่งบอกถึงการเสื่อมสภาพของโครงสร้างผิวที่ซ่อนอยู่ภายใน รอยเหี่ยวย่นมักเริ่มจากเส้นบาง ๆ บริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ก่อนจะค่อย ๆ ลึกขึ้นกลายเป็นร่องชัดเจนที่เห็นได้ชัดตามหน้าผาก แก้ม และร่องแก้ม

สาเหตุของรอยเหี่ยวย่นไม่ได้มีเพียงปัจจัยด้านอายุเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกัน การพักผ่อนน้อย การสูบบุหรี่ หรือแม้แต่ความเครียดสะสม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร ปัญหาดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ หากละเลยการดูแลผิว ก็มีโอกาสที่จะเห็นริ้วรอบปรากฏก่อนวัยได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้รอยเหี่ยวย่นจะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ทุกคนต้องเผชิญ แต่การเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วรอยย่นเกิดจากอะไร และรู้จักวิธีดูแลผิวอย่างถูกต้อง จะช่วยให้เราชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะพาไปสำรวจตั้งแต่สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง ไปจนถึงแนวทางดูแลผิวทั้งในชีวิตประจำวันและทางการแพทย์ เพื่อเป็นแนวทางให้ผิวแลดูเรียบเนียนและอ่อนวัยได้อย่างยาวนาน

 

รอยเหี่ยวย่นคืออะไร?

รอยเหี่ยวย่นคืออะไร?

 

รอยเหี่ยวย่นคืออะไร?

รอยเหี่ยวย่นคือการเปลี่ยนแปลงของผิวที่เกิดขึ้นเมื่อโครงสร้างผิวสูญเสียความแข็งแรงและความยืดหยุ่นตามเวลา ผิวที่เคยตึงกระชับกลับปรากฏเป็นรอยยับหรือร่องลึก เนื่องมาจากการลดลงของคอลลาเจน อีลาสติน และความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิว ปัจจัยเหล่านี้อาจเกิดจากอายุที่มากขึ้น การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าที่ซ้ำ ๆ ไปจนถึงการเผชิญกับสิ่งกระตุ้นภายนอก เช่น แสงแดด มลภาวะ หรือการดูแลที่ไม่เหมาะสม

ริ้วรอยบนใบหน้าหมายถึงร่องหรือเส้นที่ปรากฏบนผิว ตั้งแต่เส้นเล็กบางไปจนถึงรอยลึก โดยมักเริ่มจากผิวที่สูญเสียความชุ่มชื้นและยืดหยุ่น เมื่อไม่ได้รับการบำรุงอย่างเหมาะสม ริ้วรอยเล็ก ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ ลึกขึ้นและกลายเป็นรอยเหี่ยวย่นที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นตามกาลเวลา

 

ประเภทของริ้วรอยบนใบหน้า

ประเภทของริ้วรอยบนใบหน้า

 

ประเภทของริ้วรอยบนใบหน้า

  • ริ้วรอยตื้น (Fine Lines)

มักจะปรากฏเป็นเส้นบาง ๆ บนผิวหนังชั้นตื้น สาเหตุหลักมาจากผิวขาดน้ำและความแห้งกร้าน พบบ่อยบริเวณรอบดวงตา มุมปาก และผิวที่เคลื่อนไหวบ่อย เช่น เวลาหัวเราะหรือยิ้ม

  • ริ้วรอยลึก (Deep Wrinkles)

เป็นร่องลึกที่เห็นได้ชัด เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว มักพบได้ที่หน้าปาก ร่องแก้ม หรือระหว่างคิ้ว ซึ่งบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิวในระยะที่มากขึ้น

 

รอยเหี่ยวย่นเกิดจากอะไร?

รอยเหี่ยวย่นเกิดจากอะไร?

 

รอยเหี่ยวย่นเกิดจากอะไร?

การเกิดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งจากกลไกทางร่างกายและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและไม่สามารถคงความเรียบเนียนได้ มีดังนี้

  • อายุที่มากขึ้น

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และกรดไฮยาลูโรนิกน้อยลง ซึ่งสารเหล่านี้มีหน้าที่เสริมความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น และความแข็งแรงของผิว เมื่อสารสำคัญเหล่านี้ลดลง ผิวจึงเริ่มสูญเสียความกระชับ เกิดการหย่อนคล้อยและปรากฏร่องลึกได้ง่าย

  • การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ

การยิ้ม ขมวดคิ้ว หรือหรี่ตาบ่อย ๆ ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าหดตัวในลักษณะเดิมซ้ำ ๆ เมื่อผิวไม่สามารถฟื้นคืนรูปได้เต็มที่ รอยพับจึงค่อย ๆ กลายเป็นริ้วรอยบนใบหน้าที่ชัดเจนและพัฒนาเป็นรอยเหี่ยวย่นในที่สุด

  • แสงแดดและรังสี UV

แสงแดด โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB เป็นตัวการสำคัญที่ทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ส่งผลให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น และเกิดรอยย่นรวมถึงจุดด่างดำตามมา

  • มลภาวะและสารพิษ

ฝุ่นควันและมลพิษในอากาศก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เซลล์ผิวถูกทำลายจนสูญเสียความแข็งแรงและทำให้ริ้วรอยเกิดขึ้นก่อนวัย

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต

เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การนอนหลับไม่เพียงพอ รวมไปถึงการดื่มน้ำน้อย ซึ่งส่งผลให้ผิวเกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายขึ้น

รอยเหี่ยวย่นไม่ได้เกิดจากอายุเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ผิวก็ไม่สามารถคงความยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม ประกอบด้วยปัจจัยภายนอกอย่างแสงแดด มลภาวะ แและพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว ล้วนเป็นตัวเร่งให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าและทำให้ร่องรอยเหล่านี้ลึกขึ้นจนกลายเป็นริ้วรอยถาวร

 

ประเภทของรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า

ประเภทของรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า

 

ประเภทของรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า

รอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ตามสาเหตุและเกิดริ้วรอยดังนี้

  • รอยเหี่ยวย่นจากการเคลื่อนไหมของกล้ามเนื้อ (Dynamic Wrinkles)

รอยประเภทนี้เกิดขึ้นจากการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว หรือแม้แต่การหรี่ตา ทุกครั้งที่กล้ามเนื้อใบหน้าขยับ ผิวก็จะเกิดการพับตัวขึ้นมาเป็นเส้น หากเกิดบ่อย ๆ และผิวไม่คืนสภาพได้เต็มที่ ก็จะกลายเป็นรอยที่มองเห็นได้ชัด ซึ่งริ้วรอยที่สามารถพบได้บ่อย เช่น รอยหางตา รอยขมวดคิ้ว รอยหน้าผาก

การดูแลรอยเหี่ยวย่นลักษณะนี้ มักเน้นไปที่การลดแรงหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เช่น การใช้สารลดการทำงานของกล้ามเนื้อ หรือการปรับพฤติกรรมเพื่อลดการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ที่ทำให้รอยเดิมชัดขึ้น

  • รอยเหี่ยวย่นจากการเสื่อมสภาพของผิว (Static Wrinkles)

รอยประเภทนี้มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งรอยเหล่านี้ยังคงมองเห็นได้ชัดแม้ในเวลาที่ใบหน้าอยู่ในสภาพพักหรือไม่ได้แสดงสีหน้า สาเหตุหลักเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจน อีลาสติน และความชุ่มชื้นในผิวตามธรรมชาติ ประกอบกับอายุที่เพิ่มขึ้น แสงแดดที่ทำร้ายผิว รวมไปถึงแรงโน้มถ่วงที่ดึงให้ผิวหย่อนคล้อยลง จึงทำให้ริ้วรอยประเภทนี้ปรากฏชัดเจน ซึ่งริ้วรอยที่สามารถพบได้บ่อย เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา

การดูแลรอยเหี่ยวย่นมักจะมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพ เช่น การเติมเต็มร่องลึกด้วยฟิลเลอร์ การทำเลเซอร์เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารสำคัญอย่างเรตินอล วิตามินซี และกรดไฮยาลูโรนิก เพื่อเสริมความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวกลับมาดูยืดหยุ่นขึ้น

โดยสรุปแล้ว รอยเหี่ยวย่นจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ มักเกิดจากการแสดงสีหน้าและเห็นได้ชัดเมื่อกล้ามเนื้อทำงาน ขณะที่รอยเหี่ยวย่นจากการเสื่อมสภาพของผิว เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและมองเห็นได้แม้ในเวลาที่ใบหน้าอยู่นิ่ง ทั้งสองรูปแบบมีความเกี่ยวเนื่องกัน หากริ้วรอยบนใบหน้าที่เกิดจากเคลื่อนไหวไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่ม ก็มีโอกาสพัฒนาไปเป็นรอยถาวรที่ลึกขึ้นและแก้ไขได้ยากในอนาคต

 

พฤติกรรมที่ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้าเร็วขึ้น

  • ละเลยการปกป้องผิวจากแสงแดด

แสงแดด โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและเกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย การออกแสงแดดโดยไม่ต้องทาครีมกันแดดจึงเร่งให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าก่อนวัย

  • การนอนหลับไม่เพียงพอ

เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่ ผิวก็ไม่มีโอกาสฟื้นฟูตามธรรมชาติ การนอนไม่พอส่งผลให้ฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งไปทำลายคอลลาเจนและทำให้ผิวแห้งกร้าน จึงเห็นริ้วรอยได้ชัดกว่าเดิม

  • การสูบบุหรี่เป็นประจำ

นิโคตินและสารพิษในบุหรี่ทำให้เส้นเลือดฝอยที่เลี้ยงผิวหดตัว ผิวจึงได้รับออกซิเจนและสารอาหารน้อยลง ส่งผลให้เกิดความหมองคล้ำและร่องลึก โดยเฉพาะรอยย่นรอบปากที่เกิดจากการห่อปากซ้ำ ๆ ระหว่างสูบ

  • การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ 

ไม่ว่าจะเป็นการขมวดคิ้ว ย่นหน้าผาก หรือหรี่ตา พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าหดตัวซ้ำ ๆ และเกิดรอยพับบนผิว เมื่อเวลาผ่านไป ร่องเล็ก ๆ จะเปลี่ยนเป็นรอยเหี่ยวย่นที่เห็นได้แม้ไม่แสดงสีหน้า

  • การดื่มน้ำน้อยเกินไป

ผิวที่ขาดน้ำจะสูญเสียความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น ทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าปรากฏชัดขึ้นเร็วกว่าปกติ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอช่วยให้ผิวอิ่มฟูและลดโอกาสเกิดรอยย่นได้

  • ท่านอนที่กดทับใบหน้า

การนอนคว่ำหรือนอนตะแคงทำให้ผิวหน้าเสียดสีกับหมอนเป็นเวลานาน จนเกิดรอยพับซ้ำ ๆ ซึ่งอาจพัฒนาเป็น รอยเหี่ยวย่น ได้ การนอนหงายจึงเป็นท่าที่ช่วยลดแรงกดบนผิวหน้าได้ดีกว่า

  • การล้างหน้าแรงหรือขัดผิวบ่อย

การถูหรือขัดผิวแรง ๆ ทำให้เกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติถูกทำลาย ผิวจึงระคายเคืองและเกิดริ้วรอยได้ง่าย การเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและล้างหน้าเบา ๆ จะช่วยถนอมผิวให้แข็งแรงยาวนานขึ้น

การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยเหี่ยวย่น และชะลอไม่ให้ริ้วรอยบนใบหน้าปรากฏกว่าที่ควร หากเริ่มปรับพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ ผิวก็จะยังคงความสดใสและอ่อนวัยได้ยาวนานขึ้น

 

วิธีการแก้ปัญหารอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า

วิธีการแก้ปัญหารอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า

 

วิธีการแก้ปัญหารอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า

การใช้สกินแคร์และสารบำรุงที่ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า

  • เรตินอล (Retinol)

เป็นหนึ่งในอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ผิวหนัง ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวแท้ ทำให้ผิวกลับมามีความยืดหยุ่นและโครงสร้างแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าออก ส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นและทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าโดยเฉพาะริ้วรอยตื้น ๆ ค่อย ๆ จางลง อย่างไรก็ตาม การใช้เรตินอลอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือผิวแห้งในช่วงแรก จึงควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำและทาเฉพาะตอนกลางคืน พร้อมใช้ครีมกันแดดในตอนเช้าเพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด

  • วิตามินซี (Vitamin C)

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ซึ่งมีบทบาทในการปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงแดดและมลพิษ สารนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูแข็งแรงและยืดหยุ่น อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น พร้อมลดเลือนจุดด่างดำที่อาจทำให้ รอยเหี่ยวย่น ดูเด่นชัด ควรเลือกใช้วิตามินซีในรูปแบบที่มีความคงตัวสูง เช่น L-Ascorbic Acid และเก็บผลิตภัณฑ์ให้พ้นจากแสงและความร้อน

  • กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)

เป็นสารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติในผิว และมีคุณสมบัติเด่นคือการกักเก็บความชุ่มชื้นได้ในปริมาณมาก การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมนี้ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำและฟูขึ้น เมื่อผิวได้รับการเติมเต็มความชุ่มชื้น ริ้วรอยบนใบหน้า ที่เกิดจากความแห้งกร้านก็จะดูตื้นขึ้นและไม่ชัดเจนเท่าเดิม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรทาขณะที่ผิวหน้ายังหมาด ๆ และตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อช่วยกักเก็บน้ำ

  • เปปไทด์ (Peptides)

เป็นสายกรดอะมิโนขนาดเล็กที่มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารกับเซลล์ผิว ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และกรดไฮยาลูโรนิกมากขึ้น จึงมีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และลดการปรากฏของรอยเหี่ยวย่นได้ อีกทั้งการใช้สกินแคร์ที่มีเปปไทด์อย่างต่อเนื่องช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูสุขภาพดี

  • ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide)

ไนอาซินาไมด์หรือวิตามินบี 3 เป็นสารบำรุงที่อ่อนโยน ใช้ได้กับทุกสภาพผิว มีคุณสมบัติช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวโดยกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ ทำให้ผิวเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดขนาดรูขุมขน ปรับผิวให้เรียบเนียน และบรรเทาการอักเสบของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกัน ริ้วรอยบนใบหน้า ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง

วิธีทางการแพทย์และหัตถการสำหรับดูแลรอยเหี่ยวย่น

  • โปรแกรมฉีดโบ

เป็นวิธีที่ใช้ลดเลือนรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบนใบหน้าซ้ำ ๆ เช่น ริ้วรอยหางตา รอยย่นบนหน้าผาก หรือรอยขมวดคิ้ว กลไกของสารนี้คือช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว ส่งผลให้ผิวที่เคยพับกลับมาเรียบเนียนขึ้น โดยปกติจะเริ่มเห็นผลภายในไม่กี่วันหลังฉีด และผลลัพธ์มักอยู่ได้นานประมาณ 4–6 เดือนขึ้นอยู่กับสภาพผิวและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล

  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

เป็นการใช้สารเติมเต็ม โดยสารที่นิยมใช้คือกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำและทำให้ผิวอิ่มฟู การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์เหมาะสำหรับการแก้ไขริ้วรอยบนใบหน้าที่มีลักษณะเป็นร่องลึกหรือรอยคงที่ เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รวมถึงริ้วรอยใต้ตาที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า นอกจากการลดร่องลึกแล้ว ยังช่วยเสริมวอลลุ่มให้บริเวณแก้ม ริมฝีปาก คาง ทำให้รูปหน้าได้สัดส่วนและอ่อนวัยมากขึ้น โดยผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6–18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้

  • เทคโนโลยียกกระชับ

เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดเลือนรอยเหี่ยวย่น และช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายใน เทคโนโลยีเหล่านี้มีหลายรูปแบบ โดยหนึ่งในวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ HIFU  (High-Intensity Focused Ultrasound) ซึ่งเป็นการส่งคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงลงไปยังชั้น SMAS เพื่อยกกระชับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย ทำให้กรอบหน้าดูคมชัดขึ้นและช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าใหได้สัดส่วน อีกวิธีหนึ่งคือ Radiofrequency ที่อาศัยพลังงานคลื่นวิทยุแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนลงสู่ชั้นผิว กระบวนการนี้ทำให้คอลลาเจนเดิมหดตัว พร้อมทั้งกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวดูกระชับ เต่งตึง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

 

วิธีดูแลและป้องกันรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างเหมาะสม

  • ครีมกันแดด ถือเป็นเกราะป้องกันผิวที่สำคัญ เพราะรังสี UVA และ UVB ในแสงแดดเป็นตัวการหลักที่ทำลายคอลลาเจนและเร่งให้เกิด ริ้วรอยบนใบหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และทาซ้ำอย่างสม่ำเสมอ แม้ในวันที่อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนหรืออยู่ในที่ร่ม
  • มอยส์เจอไรเซอร์ มีบทบาทช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและลดการเกิดรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากผิวแห้ง ควรเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกหรือเซราไมด์ เพื่อเสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว
  • สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี หรือสารสกัดจากชาเขียว ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำ
  • เรตินอล (Retinoids) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าดูตื้นขึ้น ควรเริ่มใช้ในปริมาณน้อยเพื่อให้ผิวปรับตัวได้
  • เปปไทด์ (Peptides) ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น ทำให้ผิวกลับมามีความยืดหยุ่นและลดการเกิดรอยเหี่ยวย่นในระยะยาว

ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน

  • นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7–9 ชั่วโมง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผิวได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง หากพักผ่อนไม่พอ ผิวจะดูหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ การได้รับน้ำอย่างเหมาะสมช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวไม่แห้งกร้านและช่วยลดโอกาสการเกิดรอยย่น
  • รับประทานอาหารที่ดีต่อผิว ควรเลือกอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ถั่ว และปลาที่อุดมด้วยไขมันดีอย่างโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากการอักเสบและชะลอการเกิดริ้วรอย

หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำลายผิว

  • งดการสูบบุหรี่ เพราะนิโคตินและสารพิษในบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและเส้นเลือดฝอย ทำให้ผิวดูหมองคล้ำและเกิดรอยย่นรอบปากได้ง่าย
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มมากเกินไปทำให้ผิวสูญเสียน้ำจนขาดความยืดหยุ่น และเห็นริ้วรอยบนใบหน้าชัดขึ้น
  • จัดการความเครียด เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลที่หลั่งออกมาเมื่อเครียดมีผลต่อการทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดริ้วรอยได้เร็ว
  • หลีกเลี่ยงท่านอนที่กดทับใบหน้า เช่น การนอนคว่ำหรือนอนตะแคงบ่อย ๆ เพราะจะทำให้ผิวถูกกดจนเกิดรอยพับซ้ำ ๆ ซึ่งอาจพัฒนาเป็นรอยเหี่ยวย่นถาวรได้
  • หลีกเลี่ยงการขัดผิวแรงเกินไป เพราะจะทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้เกิดการระคายเคือง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยนและไม่ขัดผิวถี่จนเกินไป

ริ้วรอยบนใบหน้ากับรอยเหี่ยวย่นต่างกันอย่างไร?

  • โดยทั่วไปแล้วริ้วรอยบนใบหน้า มักหมายถึงเส้นบาง ๆ หรือรอยตื้นที่เริ่มปรากฏในช่วงแรก ขณะที่รอยเหี่ยวย่นมักใช้เรียกเส้นหรือร่องที่ลึกและเห็นได้ชัดเจนกว่า ในทางผิวหนัง ริ้วรอยมักเป็นสัญญาณเริ่มต้น ในขณะที่รอยเหี่ยวย่นเป็นการพัฒนาไปสู่ร่องลึกมากขึ้น ซึ่งล้วนเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่ช่วยคงความยืดหยุ่นของผิว

ทำไมบางคนอายุน้อยก็มีรอยเหี่ยวย่นแล้ว?

  • แม้ว่าอายุจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ แต่ปัจจัยภายนอกมีบทบาทสำคัญเช่นกัน การเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกันทำให้รังสียูวีทำลายคอลลาเจนได้อย่างรวดเร็ว การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น การขมวดคิ้วหรือหรี่ตา ก็สามารถก่อให้เกิดรอยย่นจากการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การสูบบุหรี่ การพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มน้ำน้อย และความเครียดสะสม ก็ล้วนเป็นตัวเร่งให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าก่อนวัย

รอยเหี่ยวย่นรักษาให้หายขาดได้ไหม?

  • โดยทั่วไปรอยเหี่ยวย่นไม่สามารถรักษาให้หายไปถาวร แต่สามารถทำให้ร่องลึกดูจางลงและชะลอการเกิดใหม่ได้ การดูแลอาจใช้ทั้งวิธีพื้นฐาน เช่น การบำรุงผิวด้วยเรตินอล วิตามินซี หรือกรดไฮยาลูโรนิก และหากร่องลึกมากก็อาจพิจารณาวิธีทางการแพทย์ เช่น การฉีดโปรแกรมโบ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือเทคโนโลยียกกระชับ ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้น

รอยเหี่ยวย่นเริ่มปรากฏตั้งแต่อายุเท่าไหร่?

  • ริ้วรอยแรก ๆ ทักเริ่มเห็นได้ในช่วงอายุปลาย 20 ปี โดยเฉพาะริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตาหรือบริเวณหน้าผาก เมื่อเข้าสู่วัย 30–40 ปี ริ้วรอยบนใบหน้าจะเริ่มชัดขึ้นและพัฒนาไปเป็นร่องลึกหรือรอยเหี่ยวย่น ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม การดูแลผิว และวิถีชีวิตของแต่ละคน

รอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้นในผู้ชายและผู้หญิงต่างกันไหม?

  • ผิวของผู้ชายมีความหนามากกว่าและมีคอลลาเจนมากกว่าผู้หญิง ทำให้รอยย่นมักปรากฏช้ากว่า แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักเห็นเป็นร่องที่ลึกกว่า ขณะเดียวกันผู้ชายจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การไม่ทาครีมกันแดดหรือการสูบบุหรี่ จึงทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าเกิดได้เร็วขึ้นกว่าที่คิด

ทำไมผิวแห้งจึงทำให้รอยเหี่ยวย่นเห็นชัดกว่าผิวมัน?

  • ผิวแห้งมักขาดความชุ่มชื้น ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอและยืดหยุ่นน้อยลง เมื่อผิวขาดน้ำริ้วรอยบนใบหน้าจะเห็นได้เด่นชัดและทำให้รอยเหี่ยวย่นดูลึกขึ้น ในขณะที่ผิวมันมีน้ำมันธรรมชาติเคลือบผิว จึงทำให้ผิวดูอิ่มฟูและรอยย่นไม่เด่นชัดเท่าผิวแห้ง

การดูแลผิวตั้งแต่อายุยังน้อยช่วยลดโอกาสเกิดรอยเหี่ยวย่นจริงไหม?

  • การป้องกันผิวตั้งแต่เนิ่น ๆ ถือเป็นวิธีที่ดี การเริ่มต้นใช้ครีมกันแดดทุกวัน การบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและการใช้สารต้านอนุมูลอิสระตั้งแต่ช่วงวัย 20 ปี จะช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและลดโอกาสเกิดรอยเหี่ยวย่นในระยะยาว การใส่ใจผิวตั้งแต่ต้นจึงเป็นกุญแจสำคัญในการคงความอ่อนวัยและลดความเสี่ยงของริ้วรอยก่อนวัย

 

รอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้า เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนต้องเผชิญตามวัย แม้จะเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ แต่ก็มีหลายปัจจัยที่สามารถเร่งให้เกิดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด มลภาวะ พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม การทำความเข้าใจสาเหตุและรู้จักแนวทางป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น การใช้ครีมกดกันแดด  การบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ ผู้ที่มีริ้วรอยหรือรอยเหี่ยวย่นเห็นได้ชัด ควรเสริมการดูแลด้วยสกินแคร์ที่ตรงจุดหรือหัตถการทางการแพทย์ เช่น การฉีดโบ ฉีดฟิลเลอร์ การยกกระชับผิว หรือร้อยไหม ซึ่งช่วยฟื้นฟูความเรียบเนียนและลดความลึกของริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การดูแลอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจะช่วยคงความอ่อนวัยและสุขภาพผิวในระยะยาว

[elementor-template id="15452"]