บทความ
วิธีรักษาหลุมสิว

รักษาหลุมสิวแต่ละประเภท ควรรักษายังไงถึงจะหาย

เจาะลึกหลุมสิวทุกประเภท พร้อมวิธีรักษา เพื่อผิวหน้าที่เรียบเนียน

 

“หลุมสิว” ปัญหาผิวยอดฮิตที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน การเกิดหลุมสิวนอกจากจะส่งผลต่อความสวยงามแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจอีกด้วย ซึ่งหากรักษาหลุมสิวไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดหลุมสิวที่รุนแรงและลุกลามมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย โดยการรู้จักสาเหตุการเกิดหลุมสิว และหลุมสิวแต่ละประเภท จะทำให้เลือกวิธีการรักษาได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น .. วันนี้รมย์รวินท์จะพาไปรู้จักกับหลุมสิวแต่ละประเภทพร้อมวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เลือกวิธีการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมกับประเภทของหลุมสิว และความรุนแรงของปัญหาได้

 

หลุมสิว คือ ?

หลุมสิว เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการอักเสบ หลังจากการเกิดสิวอักเสบรุนแรง เนื่องจากการเกิดสิวเหล่านี้ จะทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้กระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติไม่สามารถทำงานได้โดยสมบรูณ์ ส่งผลให้เกิดการยุบตัวลง  ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เคยเกิดเป็นสิวกลายเป็นรอยบุ๋ม หรือหลุมสิวลึกลงไปได้ 

 

หลุมสิวเกิดจากสิวประเภทใดได้บ้าง ?

หลุมสิวมักเกิดจากสิวประเภทที่อักเสบรุนแรง หรือสิวที่ลึกลงไปในชั้นผิวหนัง

ส่งผลให้ผิวเกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อและคอลลาเจนบริเวณนั้น ๆ ซึ่งหลุมสิวมักเกิดหลังการเกิดสิวประเภทเหล่านี้ 

 

  • หลุมสิวจากการเกิดสิวอักเสบ (Inflammatory Acne) สิวประเภทนี้มักเป็นตัวการที่ทำให้เกิดหลุมสิวอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นการอักเสบในชั้นผิว ถ้าหากทำการรักษาไม่ถูกต้อง จะส่งผลให้การอักเสบของสิวประเภทนี้ทำลายโครงสร้างของผิว จนทำให้เกิดเป็นหลุมสิวได้
  • หลุมสิวจากการเกิดสิวหัวช้าง (Nodular Acne) สิวหัวช้างเป็นสิวที่เกิดการอักเสบในชั้นลึกถึงชั้นหนังแท้ ทำให้การเป็นสิวอักเสบจึงมีโอกาสทำลายโครงสร้างผิวจนก่อให้เกิดหลุมสิวลึกได้
  • หลุมสิวจากการเกิดสิวหัวหนอง (Pustular Acne) สิวประเภทนี้เป็นสิวที่มีหัวหนองสีขาวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หากผู้ที่เป็นสิวหัวหนองมีการแกะหรือบีบที่ไม่ถูกต้อง จะส่งผลให้เกิดเป็นแผลเป็น หรือเป็นหลุมสิวได้
  • หลุมสิวจากการเกิดสิวซีสต์ (Cystic Acne) สิวประเภทนี้เป็นสิวที่เกิดการอักเสบขนาดใหญ่ที่เกิดจากการติดเชื้อที่รูขุมขน จนเกิดถุงน้ำใต้ผิวหนัง ซึ่งผู้ที่เป็นสิวประเภทนี้ มักมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดหลุมสิวที่ลึก และหลุมสิวที่รุนแรง

 

สิวประเภทต่าง ๆ เหล่านี้มักทำให้โครงสร้างของคอลลาเจนในชั้นผิวเสียหาย ทำให้ผิวไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบรูณ์ ส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดหลุมสิวได้ อีกทั้งการรักษาสิวที่ไม่ถูกวิธีจะเพิ่มโอกาสการเกิดหลุมสิวได้มากขึ้น ดังนั้นหากมีสิวอักเสบรุนแรงควรรีบพบแพทย์ให้ทำการรักษาให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดหลุมสิวจากสิวอักเสบในอนาคต

 

หลุมสิว เกิดจากอะไรได้บ้าง ?

การเกิดหลุมสิวนอกจากจะเกิดจากสิวที่อักเสบรุนแรงแล้ว หลุมสิวยังสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการฟื้นฟูที่ไม่สมบรูณ์ และการทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง โดยสาเหตุหลักในการทำให้เกิดหลุมสิว มีดังนี้

 

  • หลุมสิวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

การติดเชื้อในรูขุมขน หรือการอักเสบที่ลุกลาม ไม่ว่าจะเป็นการที่รูขุมขนอุดตันจากน้ำมันส่วนเกินหรือจากเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว จะทำให้ผิวหนังชั้นลึกเกิดการติดเชื้อได้ ส่งผลให้เนื้อเยื่อของผิวถูกทำลายอย่างรุนแรง จนเกิดการเป็นหลุมสิวได้

  • หลุมสิวที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจน

หากผิวมีการอักเสบจากสิว จะส่งผลให้ร่างกายเสียคอลลาเจนในกระบวนการซ่อมแซมผิวได้ ทำให้กระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ทำงานได้ไม่เต็มที่ และทำให้ผิวไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบรูณ์ ส่งผลให้เกิดเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมลึกได้

  • หลุมสิวที่เกิดจากพันธุกรรม

ในคนที่ได้รับการถ่ายทอดกรรมพันธุ์ที่มีการสร้างคอลลาเจนน้อย หรือร่างกายตอบสนองต่อการอักเสบง่ายกว่าคนปกติทั่วไป มีแนวโน้มที่จะเกิดการเป็นหลุมสิวง่ายขึ้น เนื่องจากลักษณะทางพันธุ์กรรมเหล่านี้ ทำให้ผิวหนังไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบรูณ์ เต็มที่ ทำให้เกิดหลุมสิวได้ ซึ่งสิ่งนี้สามารถส่งต่อได้ทางพันธุกรรมได้

  • หลุมสิวที่เกิดจากการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม

การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม หรือรักษาสิวที่ไม่ถูกวิธี รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง เสี่ยงต่อการทำให้ผิวเกิดหลุมสิวได้

  • หลุมสิวที่เกิดจากการลุกลามของสิวในระยะยาว

การเกิดสิวบริเวณเดิมบ่อย ๆ เป็นเวลานาน ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจเสี่ยงต่อการที่ทำให้ผิวบริเวณนั้นถูกทำลายจนเกิดเป็นหลุมสิวได้

  • หลุมสิวที่เกิดจากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ 

ปัจจัยภายนอกสามารถทำให้เกิดหลุมสิวบนผิวได้เช่นกัน ซึ่งปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดหลุมสิวมีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น แสงแดด รังสียูวี ที่ส่งผลต่อการลดกระบวนการสร้างคอลลาเจน และชะลอการฟื้นฟูของผิว หรือการสูบบุหรี่ที่ส่งผลต่อการซ่อมแซมผิวและการหมุนเวียนเลือด ทำให้ผิวหนังสามารถฟื้นฟูได้ช้าลง

 

หลุมสิว แบ่งเป็นกี่ประเภท ? 

หลุมสิวที่เกิดบนผิวไม่ได้มีเพียงประเภทเดียว แต่จริง ๆ แล้วมีถึง 3 ประเภท ซึ่งหลุมสิวแต่ละประเภทจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน รวมถึงหลุมสิวแต่ละประเภทต้องการการรักษาที่ต่างกัน ตามลักษณะและความลึกของหลุมสิว โดยหลุมสิวแต่ละประเภท มีความแตกต่างกัน ดังนี้

 

หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

 

หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar 

หลุมสิวแบบจิกลึกหรือหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar เป็นหลุมสิวที่สามารถพบได้บ่อย และทำการรักษายาก เนื่องจากเป็นหลุมสิวที่มีความลึกและแคบมาก การฟื้นฟูให้ผิวกลับมาเรียบเนียนจึงสามารถทำได้ยากมากกว่าหลุมสิวประเภทอื่น ๆ 

 

สาเหตุของการเกิดหลุมสิว Ice Pick Scar

หลุมสิวแบบจิกลึก หรือหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar มักเกิดจาก 3 สาเหตุ ได้แก่

  • การอักเสบรุนแรงในชั้นหนังแท้ ซึ่งการเกิดการอักเสบรุนแรงนี้มักจะทำลายเนื้อเยื่อผิวอย่างถาวร ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อใหม่ที่มีความหนาแน่นเท่าเนื้อเยื่อเดิม ส่งผลให้เกิดหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar ได้
  • การกดหรือบีบสิวที่ผิดวิธี จนทำให้เกิดการอักเสบที่ลุกลามมากเกินไป
  • การที่ผิวสูญเสียคอลลาเจนมากเกินไป ทำให้ผิวไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบรูณ์ 

 

ลักษณะของหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar มีลักษณะเป็นหลุมลึกและแคบ เหมือนถูกแทงหรือเจาะด้วยของแหลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ซึ่งมีความลึกถึงชั้นหนังแท้ หรือในบางคนอาจเกิดหลุมสิว Ice Pick Scar ลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกที่สุดในโครงสร้างผิวเลย 

 

การรักษาที่เหมาะกับหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar จำเป็นต้องการรักษาหลุมสิวที่สามารถฟื้นฟูได้ถึงผิวชั้นลึก และมักต้องการการรักษาหลุมสิวร่วมกันหลายวิธี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  โดยวิธีการรักษาหลุมสิวยอดนิยม ที่เหมาะกับการรักษาหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar มีดังนี้

  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์ที่สามารถรักษาหลุมสิวได้อย่างล้ำลึก เช่น การรักษาหลุมสิวด้วย Fractional Laser โดยวิธีนี้สามารถรักษาได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • การใช้ฟิลเลอร์เติมหลุมสิว วิธีรักษาหลุมสิววิธีนี้ สามารถเติมเต็มหลุมสิวได้เห็นผลเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่สามารถช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้ชั่วคราว
  • การรักษาหลุมสิวด้วยการแยกผังพืด หรือการทำ Subcision เป็นการใช้เข็มตัดพังผืดที่ยึดหลุมสิวให้ผิวดูลึกลง โดยถ้าหากพังผืดถูกตัดออกไปแล้ว ผิวบริเวณนั้นจะสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้
  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Trichloroacetic Acid Cross เป็นการใช้กรด TCA หยอดลงไปในหลุมสิว เพื่อไปกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ แต่วิธีนี้อาจจะต้องทำหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  • การรักษาหลุมสิวด้วยการผ่าตัดเล็ก เพื่อตัดหลุมสิวออกแล้วเย็บผิวใหม่ให้เรียบเนียน ซึ่งการทำด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวลึกมาก จนไม่สามารถรักษาหลุมสิวด้วยวิธีอื่นได้

 

ข้อแนะนำเกี่ยวการรักษาหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

  • หลังการรักษาหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar ควรดูแลและบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวสามารถฟื้นฟูได้ดี
  • การรักษาหลุมสิวประเภทนี้จำเป็นต้องใช้เวลา และวิธีการรักษาที่หลากหลายวิธีร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
  • ก่อนทำการรักษาหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา เพื่อประเมินปัญหา และสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้วางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้
  • การรักษาหลุมสิวประเภท Ice Pick Scar ไม่สามารถทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนสนิท 100 % แต่สามารถทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น และทำให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้นอย่างชัดเจนได้ 

 

หลุมสิวแบบ Boxcar Scar

หลุมสิวแบบ Boxcar Scar

 

หลุมสิวแบบ Boxcar Scar 

หลุมสิวแบบกล่อง หรือหลุมสิวแบบ Boxcar Scar เป็นหลุมสิวที่คล้ายกับกล่อง ซึ่งหลุมสิวประเภทนี้สามารถพบได้มากเช่นเดียวกัน และหลุมสิวประเภทนี้มักส่งผลต่อความเรียบเนียนของผิวเป็นอย่างมาก

สาเหตุของการเกิดหลุมสิวแบบ Boxcar Scar

การเกิดหลุมสิวประเภทนี้มักเกิดจากสิวอักเสบที่รุนแรง เช่น สิวหัวหนองหรือสิวหัวช้าง ที่ไปทำลายคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ จนเกิดเป็นหลุมสิวลึกที่มีขอบชัดเจน อีกทั้งหลุมสิวแบบ Boxcar Scar ยังสามารถเกิดจากการบีบหรือแกะสิวที่ผิดวิธีได้อีกด้วย เพราะการที่บีบหรือแกะสิวผิดวิธี เสี่ยง ต่อการทำให้ผิวเกิดการอักเสบรุนแรงและลึกขึ้น จนผิวหนังเกิดหลุมสิวได้

 

ลักษณะของหลุมสิวแบบ Boxcar Scar

หลุมสิวแบบ Boxcar Scar  มีลักษณะเป็นแผลหลุมลึกที่ขอบค่อนข้างชัด ทำให้มีรูปร่างคล้ายกับกล่องสี่เหลี่ยม ซึ่งหลุมสิวแบบ Boxcar Scar มีความลึกระดับปานกลางไปจนถึงลึก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ

 

การรักษาที่เหมาะกับหลุมสิวแบบ Boxcar Scar

หลุมสิวแบบ Boxcar Scar ที่เป็นหลุมสิวฐานตื้นและมีความลึกระดับปานกลางจากการเสียคอลลาเจนและเนื้อเยื่อในชั้นผิวจะมุ่งเน้นการรักษาไปที่การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และปรับพื้นผิวให้เรียบเนียน ซึ่งการรักษาที่เหมาะกับหลุมสิวแบบ Boxcar Scar มีดังต่อไปนี้

  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Microneedling เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ผ่านการใช้เข็มขนาดเล็กจิ้มลงบนผิวหนัง ทำให้เกิดแผลเล็กๆ จนเกิดกระบวนการฟื้นฟูตัวเอง เมื่อบริเวณที่ถูกกระตุ้นมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้น หลุมสิวจะดูตื้นขึ้น ทำให้ผิวเรียบเนียน และกระชับมากขึ้นด้วย
  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Fractional Laser ให้หลุมสิวตื้นขึ้น ผ่านการยิงพลังงานเลเซอร์ลงบนผิว ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ได้เลเซอร์ จะกระตุ้นร่างกายให้สร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ในชั้นผิวลึก จนทำให้ผิวเรียบเนียน หลุมสิวตื้นขึ้นได้
  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Radiofrequency Microneedling (RF) เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระดับผิวชั้นลึก จากการสร้างแผลเล็กๆ ผ่านเข็ม ในการกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมของผิว และระหว่างนั้นจะปล่อยคลื่น RF เข้าไปในผิวชั้นลึก เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้
  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Subcision เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยการใช้เข็มพิเศษตัดพังผืดใต้หลุมสิวออก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ 
  • การรักษาหลุมสิวด้วยการเติมเต็ม ด้วยการใช้สารเติมเต็ม หรือ Fillers  เพื่อเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้นทันทีหลังฉีด วิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มอย่างเร่งด่วน เห็นผลลัพธ์หลังการทำทันที แต่วิธีนี้อยู่ได้ไม่นานมากนัก ต้องฉีดซ้ำทุก ๆ  6-12 เดือน

 

ข้อแนะนำเกี่ยวการรักษาหลุมสิวแบบ Boxcar Scar

  • เลือกวิธีการรักษาหลุมสิวที่เหมาะกับลักษณะของหลุมสิวของตนเอง 
  • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการวางแผนการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสม เพื่อให้การรักษาหลุมสิวเหมาะกับตนเองมากที่สุด
  • หลังจากการรักษาหลุมสิวในบางวิธี อาจต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง เนื่องจากผิวหนังอาจไวต่อแสงแดดมากขึ้น ดังนั้นหากต้องสัมผัสแดดควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง เพื่อป้องกันรังสี UV
  • หลังจากการรักษาหลุมสิวแบบ Boxcar Scar ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคืองสูงในช่วงที่รักษาหลุมสิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ระคายเคืองผิวหลังการรักษา
  • ควรหลีกเลี่ยงการบีบหรือขัดผิวหน้าที่อาจทำให้หลุมสิวลึกขึ้น
  • การรักษาหลุมสิวแบบ Boxcar Scar อาจต้องใช้เวลาในการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

 

หลุมสิวแบบ Rolling Scar

หลุมสิวแบบ Rolling Scar

 

หลุมสิวแบบ Rolling Scar 

หลุมสิวประเภทนี้ เป็นหลุมสิวที่รูปร่างไม่ชัดเหมือนกับหลุมสิวประเภทอื่น ๆ มักเกิดหลังเป็นสิวอักเสบ ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน และมีลักษณะคล้ายกับการถูกบีบ หรือกดทับจนทำให้เกิดหลุมที่เป็นแอ่งมนได้                          

สาเหตุของการเกิดหลุมสิวแบบ Rolling Scar 

หลุมสิวแบบ Rolling Scar เกิดจากการอักเสบจากสิวขนาดใหญ่ในระดับลึกถึงชั้นหนังแท้ หรือหลุมสิวที่เจาะลึกลงผิวหนัง เช่น สิวหัวหนอง ซึ่งการอักเสบนี้จะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเสียหาย ทำให้คอลลาเจนที่สร้างใหม่ไม่สามารถเติมเต็มรอยแผลได้เต็มที่ จึงเกิดเป็นรอยแผลที่ยุบลง จนทำให้ผิวดูเป็นหลุม เกิดเป็นหลุมสิวแบบ Rolling Scar ได้

 

ลักษณะของหลุมสิวแบบ Rolling Scar 

หลุมสิวแบบ Rolling Scar จะมีลักษณะเป็นคลื่นเล็ก ๆ คล้ายรอยแผลที่ถูกขูด หรือกดทับ มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับแอ่งที่โค้งมน ขอบของหลุมสิวไม่คมชัดเท่ากับหลุมสิวแบบอื่น ๆ ส่งผลให้พื้นผิวดูขรุขระ ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน

 

การรักษาที่เหมาะกับหลุมสิวแบบ Rolling Scar 

หลุมสิวแบบ Rolling Scar ต้องใช้วิธีการรักษาที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และปรับโครงสร้างของผิว เพื่อให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นและทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้ โดยการรักษาที่เหมาะสมกับหลุมสิวแบบ Rolling Scar มีดังนี้

  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวแบบ Fractional CO2 Laser หรือจะเป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวด้วย Fractional Erbium YAG Laser ในการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อให้ผิวสามารถฟื้นฟูซ่อมแซมตัวเองได้ ส่งผลให้หลุมสิวตื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียน
  • การทำ PRP รักษาหลุมสิวผ่านการกระตุ้นการซ่อมแซมผิวที่เสียจากหลุมสิว จากการฉีดเลือดของผู้รักษาลงไปในผิว ในการช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวและหลุมสิวอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การใช้ยาที่มีส่วนผสมของสารเรตินอยด์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้
  • การเติมฟิลเลอร์ เพื่อเติมเต็มหลุมสิวที่สามารถให้ผลลัพธ์ได้หลังทำทันที แต่การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีนี้อาจต้องทำซ้ำ เนื่องจากผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน

 

ข้อแนะนำเกี่ยวการรักษาหลุมสิวแบบ Rolling Scar 

  • เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับหลุมสิวและสภาพผิวแต่ละคน ซึ่งการรักษาควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
  • การรักษาหลุมสิวแบบ Rolling Scar อาจต้องใช้เวลารักษานาน เพื่อสร้างคอลลาเจน ให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน 
  • ควรหลีกเลี่ยงการบีบสิว เพราะเสี่ยงต่อการทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดหลุมสิวที่ลึกขึ้นได้ 
  • หลีกเลี่ยงการขัดถูหรือการทำให้ผิวหนังระคายเคืองหลังการรักษา
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง หากจำเป็นต้องออกแดด ควรทาครีมที่มีค่า SPF สูง

 

หลุมสิว มีผลต่อผิวหน้ายังไง ?

หลุมสิว มีผลต่อผิวหน้ายังไง ?

 

หลุมสิว มีผลต่อผิวหน้ายังไง ?

การเป็นหลุมสิวส่งผลกระทบต่อผิวหน้าในหลายด้าน จากการที่ผิวมีกระบวนการซ่อมแซมผิวที่ไม่สมบรูณ์ โดยหลุมสิวนอกจากจะส่งผลต่อโครงสร้างและความเรียบเนียนของผิวแล้ว ยังส่งผลในหลายด้าน ดังนี้

 

  • หลุมสิวส่งผลกระทบต่อสภาพผิวหน้า

การเกิดหลุมสิวส่งผลต่อสภาพผิวหน้าหลายประการทั้งการทำให้ผิวดูขรุขระ ดูไม่เรียบเนียน เนื่องจากเกิดการยุบตัวของเนื้อเยื่อในชั้นหนังแท้บริเวณที่โครงสร้างผิวถูกทำลาย

  • หลุมสิวส่งผลกระทบต่อความกระจ่างใสของผิว

หลุมสิวเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใส   เนื่องจากหลุมหรือร่องในผิวจะทำให้แสงกระจายไปในทิศทางที่ไม่เท่ากัน ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ

  • หลุมสิวส่งผลกระทบต่อการเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ 

เมื่อผิวหนังเกิดการฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่จนเกิดเป็นหลุมสิวแล้วนั้น ผิวก็จะมีความเสี่ยงในการเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ มากขึ้น เพราะผิวบริเวณที่เป็นหลุมสิวจะมีความบอบบางและฟื้นฟูได้ยาก อีกทั้งหลุมสิวอาจทำให้สิ่งสกปรกไปอยู่ในนั้นได้ง่าย จนก่อให้เกิดสิวใหม่ได้

  • หลุมสิวส่งผลกระทบต่อการแต่งหน้า

การแต่งหน้ามักไม่ติดทน เป็นคราบ หรือเครื่องสำอางตกร่องได้ หากมีปัญหาผิวหน้าเป็นหลุมสิว เนื่องจากหลุมสิวทำให้ผิวมีร่องหรือรอยลึก ทำให้รองพื้นหรือเครื่องสำอางไม่สามารถเกาะติดผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • หลุมสิวส่งผลกระทบทำให้รูขุมขนดูกว้างขึ้น

ในคนที่มีปัญหาหลุมสิว มักพบว่ารูขุมขนดูกว้างมากขึ้นด้วย เนื่องจากหลุมสิวบางประเภทนอกจากจะทำให้ผิวดูขรุขระ ไม่เรียบเนียนแล้วยังทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นได้ด้วย

  • หลุมสิวส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูผิว

หลุมสิวที่ลึกและรุนแรงจะเป็นปัญหาผิวที่ฟื้นฟูได้ยาก ซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการเฉพาะและมีขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้นในการรักษา ส่งผลให้การฟื้นฟูในกรณีนี้ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในการฟื้นฟูผิว

 

หลุมสิว รักษาเองได้ไหม ?

การรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองสามารถทำได้ หากหลุมสิวไม่ขนาดไม่ลึก หรือหลุมสิวไม่รุนแรงมาก ซึ่งการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองที่บ้านนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

  • การใช้ผลิตภัณฑ์หรือครีมบำรุงช่วยฟื้นฟูผิว ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) , กรด AHA/BHA , วิตามิน C หรือ การใช้ครีมกันแดด เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว ปรับสภาพผิว ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • การเติมความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง และลดการเกิดรอยหลุมสิวลึกขึ้น
  • การใช้แผ่นซิลิโคนเพื่อช่วยปรับสภาพหลุมสิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น สำหรับผู้ที่มีหลุมสิวตื้น ๆ
  • การกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยเรตินอล 

ทั้งนี้การรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองสามารถทำได้สำหรับผู้ที่มีหลุมสิวตื้น ๆ เท่านั้น ในผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวลึก กว้าง และรุนแรง ควรเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องกับผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากหลุมสิวเกิดจากการเสียหายของโครงสร้างผิวในระดับลึก จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ไม่ทำให้ผิวเสียหายมากขึ้น 

 

หลุมสิว รักษายากไหม ?

ระดับความยากของการรักษาหลุมสิวขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ประกอบกันหลายปัจจัย แต่ส่วนใหญ่การรักษาหลุมสิวสามารถทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากหลุมสิวเกิดจากการเสียหายของโครงสร้างผิวระดับลึก จึงทำให้ฟื้นฟูได้ยาก ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการรักษาหลุมสิว มีดังนี้

  • ประเภทของหลุมสิว
  • ความรุนแรงของหลุมสิว
  • ความลึก และระยะเวลาของการเกิดหลุมสิว 
  • สภาพผิว และการตอบสนองต่อการรักษาของแต่ละบุคคล
  • การดูแลตัวเองหลังการรักษาหลุมสิว

 

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลต่อการรักษาหลุมสิว หากมีปัญหาหลุมสิวที่ลึก รุนแรง อาจต้องการการรักษาที่นานกว่า และมีการรักษาที่ยากกว่าผู้ที่เป็นสิวแบบตื้น ดังนั้นก่อนการรักษาหลุมสิวจึงควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ก่อนการรักษาหลุมสิว เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

 

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว

 

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว 

  1. ดูแลรักษาผิวหน้าให้ดี ไม่ให้เกิดสิวอักเสบ หากเกิดสิวควรรักษาตั้งแต่เริ่มแรก ด้วยวิธีที่ถูกเหมาะสม ไม่ให้สิวลุกลามจนกลายเป็นสิวอักเสบ 
  2. หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิวที่ไม่ถูกวิธี เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อผิวถูกทำลาย จนเกิดเป็นหลุมสิวได้
  3. รักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรง เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เพื่อลดโอกาสผิวแห้งระคายเคือง
  4. ป้องกันการเกิดแผลเป็นจากรอยสิว รอยดำ รอยแดง ต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดรอยลึกจนกลายเป็นหลุมสิว
  5. พบแพทย์ผิวหนังหากเป็นสิวเรื้อรัง เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ลดโอกาสการเกิดหลุมสิว

 

การป้องกันหลุมสิจากการจัดการสิวตั้งแต่เริ่มแรก และการดูแลผิวให้แข็งแรง จะช่วยให้ลดความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวในอนาคตได้

รู้ทันทุกหลุมสิว เพื่อผิวเรียบเนียนใส ไร้ร่องรอย

หลุมสิวเกิดจากการกระบวนการฟื้นฟูซ่อมแซมผิวที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้เต็มที่หลังจากการเป็นสิวอักเสบรุนแรง ที่มีการอักเสบลึกลงไปในชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวเกิดเป็นหลุม ไม่สามารถกลับมาเรียบเนียนได้ นอกจากนี้หลุมสิวส่งผลเสียต่อผิวในหลายด้าน โดยหลุมสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น  3 ประเภท ได้แก่ Ice Pick Scar, Boxcar Scar, และ Rolling Scar ซึ่งหลุมสิวแต่ละประเภทมีลักษณะที่แตกต่างกัน และต้องการการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการรักษาหลุมสิวสามารถทำได้เอง หากเป็นหลุมสิวแบบตื้น แต่ถ้าหากเป็นหลุมสิวที่มีความลึก กว้าง และรุนแรงควรรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งการป้องกันการเกิดหลุมสิวสามารถทำได้ด้วยการดูแลผิวให้แข็งแรง และรักษาสิวไม่ให้เกิดสิวอักเสบบนใบหน้า

[elementor-template id="15452"]

Related Posts