บทความ
รักษาหลุมสิว

รักษาหลุมสิวต้องทำยังไง รวมสาเหตุและวิธีป้องกัน พร้อมทำความรู้จักหลุมสิว

หลุมสิว คือ รอยแผลที่มักเกิดขึ้นหลังจากสิวหายแล้ว โดยพบได้บ่อยในผู้ที่เคยเกิดสิวอักเสบหรือสิวที่มีการกด แกะ เกา ทำให้คอลลาเจนและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถูกทำลาย ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นยุบตัวลง กลายเป็นร่องลึกหรือหลุมที่เห็นได้ชัดเจน ส่งผลต่อความมั่นใจของหลายบุคคล

 

หลุมสิวเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ?

หลุมสิวเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ?

 

หลุมสิวเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ?

การเกิดหลุมสิวสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากกระบวนการอักเสบของสิวที่ทำลายโครงสร้างผิว ทำให้การซ่อมแซมผิวทำได้ไม่สมบรูณ์ ส่งผลให้ผิวที่ฟื้นฟูแล้วกลับมาไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหลุมสิว มีดังนี้

  • หลุมสิวจากการอักเสบที่รุนแรงของสิว

สิวอักเสบมักกระตุ้นให้เกิดการทำลายของผิวชั้นนอกและโครงสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ในบางครั้งการเกิดสิวอักเสบลุกลามอาจลงลึกไปทำลายเนื้อเยื่อเป็นบริเวณกว้างได้ และเมื่อสิวหายแล้วร่างกายจะไม่สามารถซ่อมแซมผิวได้ไม่สมบรูณ์ จึงเกิดเป็นร่องลึกหรือหลุมสิวที่มักเห็นได้ชัด

  • หลุมสิวจากการบีบหรือกดสิวที่ไม่ถูกวิธี

การบีบ กดสิวที่ไม่ถูกวิธี หรือบีบด้วยแรงมากเกินไป ประกอบกับการใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด อาจทำให้สิวแตกในชั้นลึก ทำให้การเกิดสิวอักเสบมากขึ้นและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ถูกทำลายได้ ทำให้รอยสิวหายได้ช้าลงและทิ้งร่องรอยเป็นหลุมสิวที่ชัดเจนมากกว่าเดิมได้

  • หลุมสิวจากการติดเชื้อของแบคทีเรีย

รูขุมขนที่มีการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้สิวอักเสบเกิดการลุกลามลงไปในชั้นผิว เมื่อสิวหายแล้วอาจทำให้ผิวซ่อมแซมได้ไม่สมบรูณ์ ส่งผลให้เกิดเป็นหลุมสิวได้

  • หลุมสิวจากการสร้างคอลลาเจนที่ผิดปกติ

การซ่อมแซมผิวหลังการเกิดสิวอักเสบ ร่างกายอาจเกิดการสร้างคอลลาเจนไม่เพียงพอ ทำให้ผิวที่ซ่อมแซมได้ไม่สม่ำเสมอเกิดการเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมสิวได้

  • หลุมสิวจากกรรมพันธุ์และสภาพผิว

กรรมพันธุ์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการตอบสนองต่อการอักเสบและการซ่อมแซม ในบางบุคคลที่มีพันธุ์กรรมโครงสร้างผิวที่เปราะบาง มีโอกาสเกิดการรอยแผลเป็นง่ายกว่าคนทั่วไป หรือในผู้ที่มีผิวบางหรือผิวมัน อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวได้ง่ายเมื่อเกิดสิวอักเสบรุนแรง

สาเหตุของการหลุมสิวมักเกิดจากสิวอักเสบรุนแรงและการซ่อมแซมของผิวที่ผิดปกติ  รวมถึงพฤติกรรมการกดสิวที่ไม่ถูกวิธี การดูแลผิวและรักษาสิวอักเสบอย่างถูกวิธีจะช่วยลดโอกาสการเกิดหลุมสิวได้

 

หลุมสิวมีกี่ประเภท ?

หลุมสิวมีกี่ประเภท ?

 

หลุมสิวมีกี่ประเภท ?

หลุมสิวสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท โดยหลุมสิวแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการเข้าใจประเภทของหลุมสิวแต่ละประเภท จะช่วยให้เลือกวิธีการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมได้ ซึ่งหลุมสิวสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ได้แก่

 

1.หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar เป็นประเภทของหลุมสิวที่พบได้บ่อย ซึ่งมักจะลึกจนถึงชั้นผิวหนังแท้ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดหลุมสิวประเภทนี้ คือ การอักเสบรุนแรงของสิว โดยเฉพาะในสิวอักเสบหรือสิวหัวหนองที่ไปทำลายเนื้อเยื่อชั้นลึกของผิว ทำให้การรักษาหลุมสิวแบบ  Ice Pick Scar ค่อนข้างยากกว่าการรักษาหลุมสิวประเภทอื่น ๆ

ลักษณะของหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

  • หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar มีลักษณะเป็นรอยแคบ ลึก
  • หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar มีลักษณะคล้ายรอยแผลเล็ก ๆ จากเข็มหรือของแหลม

แนวทางการรักษาหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

  • การทำเลเซอร์ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • การเติมเต็มหลุมสิวด้วยโปรแกรมฟิลเลอร์ ร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ผิวเรียบเนียน
  • การสลายพังผืดที่รั้งผิวด้วยการทำ Subcision 
  • การทำ Microneedling เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมรอหลุมสิวให้ตื้นขึ้น และผลัดเซลล์ผิว

หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar มีความลึก ทำให้การรักษาจึงอาจต้องอาศัยการทำหัตถการหลายครั้งและควรใช้วิธีการผสมผสานหลายวิธี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

 

2.หลุมสิวแบบ Boxcar Scar

หลุมสิวแบบ Boxcar Scar เป็นหลุมสิวอีกประเภทที่พบได้บ่อย มักเกิดจากการอักเสบที่ทำลายเนื้อเยื่อเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะเมื่อมีการอักเสบรุนแรงหรือเกิดซ้ำ ๆ ทำให้คอลลาเจนใต้ผิวถูกทำลายและไม่สามารถฟื้นฟู ซ่อมแซมได้ตามปกติ  

ลักษณะของหลุมสิวแบบ Boxcar Scar

  • หลุมสิวแบบ Boxcar Scar มีลักษณะเป็นรอยกว้าง ขอบชัด และลึกปานกลางถึงลึกมาก
  • หลุมสิวแบบ Boxcar Scar มีรอยหลุมชัดเจน กว้างกว่าหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar 
  • หลุมสิวแบบ Boxcar Scar มีลักษณะเป็นบ่อคล้ายรอยบุ๋มสี่เหลี่ยมหรือวงรี 

แนวทางการรักษาหลุมสิวแบบ Boxcar Scar

  • การทำเลเซอร์ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • การเติมเต็มหลุมสิวด้วยโปรแกรมฟิลเลอร์ ร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ผิวเรียบเนียน
  • การสลายพังผืดที่รั้งผิวด้วยการทำ Subcision 
  • การทำ Microneedling หรือ TCA CROSS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมรอหลุมสิวให้ตื้นขึ้น และผลัดเซลล์ผิว

หลุมสิวแบบ Boxcar Scar จะสามารถตอบสนองต่อการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใช้วิธีการผสมผสานหลากหลายวิธี และอาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง 

 

3.หลุมสิวแบบ Rolling Scar

หลุมสิวแบบ Rolling Scar มักเกิดจากสิวอักเสบรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง เมื่อสิวอักเสบหายแล้วร่างกายจะสร้างพังผืดใต้ผิว เพื่อซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวถูกดึงรั้งจนเกิดเป็นรอยเว้ารูปคลื่น ส่งผลให้ผิวดูไม่เรียบเนียนและมีลักษณะเป็นคลื่น

ลักษณะของหลุมสิวแบบ Rolling Scar

  • หลุมสิวแบบ Rolling Scar มีลักษณะเว้าลึก ขอบไม่ชัด
  • หลุมสิวแบบ Rolling Scar มีลักษณะเป็นรอยโค้ง ๆ บนผิว 
  • หลุมสิวแบบ Rolling Scar ทำให้ผิวดูเป็นลอนหรือเป็นคลื่น
  • หลุมสิวแบบ Rolling Scar มักกระจายเป็นบริเวณกว้าง

แนวทางการรักษาหลุมสิวแบบ Rolling Scar

  • การสลายพังผืดที่รั้งผิวด้วยการทำ Subcision 
  • การทำเลเซอร์ Fractional CO2 หรือ Erbium YAG เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และปรับให้ผิวเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
  • การทำ Microneedling เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมรอหลุมสิวให้ตื้นขึ้น และผลัดเซลล์ผิว
  • การใช้ฟิลเลอร์ร่วมด้วยในบางกรณี เพื่อช่วยปรับระดับผิว

หลุมสิวแบบ Rolling Scar มักต้องรักษาหลายครั้งและการผสานหลายเทคนิค เพื่อให้ผิวเรียบเนียนและเห็นการเปลี่ยนแปลง

 

หลุมสิวหายเองได้ไหม ?

หลุมสิวไม่สามารถหายเองได้ เนื่องจากเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการซ่อมแซมผิวที่ไม่สมบรูณ์หลังการอักเสบ ซึ่งความตื้นลึกของหลุมสิวอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา โดยหลุมสิวตื้นบางประเภทอาจดูจางลงเล็กน้อย หากเกิดการผลัดเซลล์ผิวและการสร้างคอลลาเจนใหม่ แต่หลุมสิวลึกมักต้องใช้การรักษาทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง 

 

สาเหตุที่ควรรักษาหลุมสิว

สาเหตุที่ควรรักษาหลุมสิว

 

สาเหตุที่ควรรักษาหลุมสิว

หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่กระทบได้ถึงโครงสร้างผิวชั้นใน ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดร่องรอยถาวรได้หากปล่อยทิ้งไว้นาน นอกจากนี้การรักษาหลุมสิวจะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนได้อีกด้วย โดยเหตุผลหลักที่ควรรักษาหลุมสิว มีดังนี้

1.การรักษาหลุมสิวช่วยลดความเสี่ยงการเกิดพังผืดถาวร

หากปล่อยหลุมสิวไว้โดยไม่รักษา พังผืดอาจแข็งแรง หนาแน่น และดึงรั้งผิวมากขึ้น ทำให้ผิวเสียความยืดหยุ่น ทำให้การรักษาภายหลังจะยากและใช้ระยะเวลานานยิ่งขึ้น และโอกาสการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมอาจจะยากมากขึ้นด้วย

 

2.การรักษาหลุมสิวช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว

การรักษาหลุมสิวด้วยหัตถการต่าง ๆ จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้นและผิวแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

 

3.การรักษาหลุมสิวช่วยเสริมความมั่นใจและภาพลักษณ์

ในผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวมักทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจ โดยการรักษาหลุมสิวช่วยลดความลึกของหลุมสิว ทำให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับการรักษามีความมั่นใจในภาพลักษณ์และการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย

 

4.การรักษาหลุมสิวช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพผิว

การรักษาหลุมสิวช่วยให้ผิวได้รับการรักษาที่เหมาะสม ลดโอกาสการเกิดรอยบุ๋มลึกหรือกว้างขึ้น ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ทำให้ผิวไม่แก่ ลดการเสื่อมสภาพของผิว

 

5.การรักษาหลุมสิวช่วยปรับสมดุลสุขภาพผิวโดยรวม

การรักษาหลุมสิวช่วยให้ผิวได้รับการรักษาและการดูแลอย่างเหมาะสม ทำให้ผิวมีความเรียบเนียน ชุ่มชื้น และสุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้น

การรักษาหลุมสิวช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยเสริมความมั่นใจ ภาพลักษณ์ และสุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ 

 

รวม 6 วิธีรักษาหลุมสิวยอดนิยม

รวม 6 วิธีรักษาหลุมสิวยอดนิยม

 

รวม 6 วิธีรักษาหลุมสิวยอดนิยม

การรักษาหลุมสิวมีหลายวิธีทั้งแบบการทำหัตถการและการใช้ยา โดยการเลือกวิธีการรักษาหลุมสิวจะขึ้นอยู่กับประเภทของหลุมสิว ความลึก และสภาพผิว โดยวิธีการรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยม มีดังนี้

1.รักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์

การรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้นได้อีกด้วย โดยเลเซอร์ที่ใช้การรักษาหลุมสิวมีมากมายไม่ว่าจะเป็น  Fractional CO2 Laser หรือ Erbium Laser  เป็นต้น

ข้อดีของการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์

  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง
  • ช่วยลดความลึกและขอบของหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  • ปรับสีผิว ช่วยให้ผิวสม่ำเสมอและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
  • ฟื้นฟูสุขภาพผิวโดยรวม ทำให้ผิวเรียบเนียน สุขภาพดี

การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มี Ice Pick Scar, Boxcar Scar หรือ Rolling Scar
  • ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวที่ชัดเจน ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีทั่วไป
  • ผู้ที่ไม่ได้รับประทานยาบางชนิดที่มีผลทำให้ผิวไวต่อแสง
  • ผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามต่อการทำเลเซอร์
  • ผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรง ไม่มีปัญหาโรคผิวหนังในบริเวณที่ต้องการรักษา

 

ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการรักษาหลุมสิว

 

2.รักษาหลุมสิวด้วยการทำ Subcision 

การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Subcision เป็นหัตถการในการรักษาหลุมสิวที่แพทย์จะใช้เข็มปลายทู่สอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อทำการตัดพังผืดที่รั้งผิวไว้ ทำให้หลุมค่อย ๆ ตื้นขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อซ่อมแซมผิวอีกด้วย

ข้อดีของการรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Subcision 

  • ช่วยลดความลึกและขอบของหลุมสิวได้อย่างถูกจุด เนื่องจากตัดพังผืดที่เป็นสาเหตุ
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียน
  • เห็นผลลัพธ์ได้เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • สามารถรักษาร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้

การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Subcision เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีหลุมสิวประเภท Rolling Scar หรือ Boxcar Scar ที่เกิดจากพังผืดดึงรั้งใต้ผิว
  • ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีการติดเชื้อหรือแผลอักเสบในบริเวณที่รักษา
  • ผู้ที่มีหลุมสิวจากพังผืดและต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้น

 

การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Subcision ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวจากพังผืดและต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน

 

3.รักษาหลุมสิวด้วยการฉีดฟิลเลอร์

การรักษาหลุมสิวด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นการทำหัตถการรักษาหลุมสิวโดยการใช้สารเติมเต็มยกพื้นผิวให้เรียบเนียนเสมอกับผิวรอบข้าง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและสุขภาพดีขึ้น

ข้อดีของการรักษาหลุมสิวด้วยการฉีดฟิลเลอร์

  • เห็นผลลัพธ์ในระยะเวลาไม่นาน ไม่ต้องรอผลลัพธ์นาน
  • ช่วยเติมเต็มร่องลึกของหลุมสิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
  • ฟื้นตัวได้ในระยะเวลาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด เจ็บน้อย
  • หากไม่พึงพอใจในผลลัพธ์สามารถปรับแก้ไขได้โดยการสลายฟิลเลอร์

การรักษาหลุมสิวด้วยการฉีดฟิลเลอร์เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีหลุมสิวลึกเฉพาะจุด โดยเฉพาะ Boxcar Scar หรือ Rolling Scar ที่ไม่กว้างมาก
  • ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ในระยะเวลาไม่นาน ไม่ต้องการพักฟื้น
  • ผู้ที่ไม่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็ม

 

การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูผิวและช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ในระยะเวลาไม่นาน แต่ควรทำโดยแพทย์เพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตราย และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

 

4.รักษาหลุมสิวด้วยการทำ Microneedling 

การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Microneedling เป็นหัตถการการรักษาหลุมสิวที่ใช้เข็มขนาดเล็กจำนวนมากในการเจาะลงไปบนชั้นผิวตื้น ๆ เพื่อสร้างบาดแผลขนาดเล็กเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมผิวด้วยการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่

ข้อดีของการรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Microneedling 

  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน 
  • ช่วยปรับสภาพผิวโดยรวม
  • ไม่เป็นอันตราย สามารถทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้
  • ลดเลือนหลุมสิว รอยแผลเป็นจากสิว และทำให้ผิวดูเรียบเนียน

การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Microneedling เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีหลุมสิวตื้นถึงปานกลาง เช่น Rolling Scar หรือ Boxcar Scar ขนาดเล็ก
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพผิวโดยรวม

การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Microneedling เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาหลุมสิวที่ไม่เป็นอันตรายและมีประสิทธิภาพ

 

6.รักษาหลุมสิวด้วยการใช้ยาทา

การรักษาหลุมสิวด้วยการใช้ยาทาเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดการสร้างเม็ดสี และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว แต่ทั้งนี้ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์

ข้อดีของการรักษาหลุมสิวใช้ยาทา

  • สะดวกและง่าย สามารถทำได้เองที่บ้าน
  • ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้นเมื่อใช้ต่อเนื่อง
  • ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากเมื่อเทียบกับการทำหัตถการทางการแพทย์อื่น ๆ 

การรักษาหลุมสิวใช้ยาทาเหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีหลุมสิวตื้นหรือหลุมสิวที่ยังไม่ลึกมาก
  • ผู้ที่ไม่สะดวกเข้ารับหัตถการ
  • ผู้ที่ต้องการดูแลผิวควบคู่ไปกับการรักษาหลักเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว

การใช้ยาทาในการรักษาหลุมสิวถือเป็นทางเลือกเบื้องต้นในการช่วยปรับสภาพผิวและลดรุนแรงของหลุมสิว แต่ทั้งนี้ควรใช้ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ เพื่อให้ไม่ก่อให้เกิดอันตราย

 

หลุมสิวใช้เวลารักษาสิวนานแค่ไหน ?

ระยะเวลาในการรักษาหลุมสิวของแต่ละบุคคลอาจมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงของหลุมสิว ประเภทของหลุมสิว สภาพผิว และวิธีการรักษาที่เลือก อีกทั้งในแต่ละบุคคลยังตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย แต่โดยทั่วไปแล้วการรักษาหลุมสิว มักจะต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือนเพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลง โดยเฉลี่ยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง

หากต้องการทราบระยะเวลาการรักษาหลุมสิวเฉพาะบุคคลที่แน่ชัด ควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการดูแลรักษา เพื่อให้แพทย์วางแผนและประเมินระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสมได้

 

วิธีดูแลรักษาผิวระหว่างรักษาหลุมสิว

วิธีดูแลรักษาผิวระหว่างรักษาหลุมสิว

 

วิธีดูแลรักษาผิวระหว่างรักษาหลุมสิว

การดูแลผิวอย่างเหมาะสมในระหว่างการรักษาหลุมสิวถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาหลุมสิวของคุณเป็นไปได้อย่างราบรื่น และลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วย โดยการดูแลผิวในระหว่างการรักษาสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเหมาะสม

ระหว่างการรักษาหลุมสิวควรปกป้องผิวจากแสงแดด  เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวอักเสบและทำให้ผิวอ่อนแอลงได้อีกด้วย

  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีความอ่อนโยน

ระหว่างการรักษาหลุมสิวควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อไม่ให้ผิวเกิดอาการแพ้หรืออักเสบระหว่างการรักษา

  • หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาสิว

ระหว่างการรักษาหลุมสิวควรเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว เนื่องจากอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นและติดเชื้อระหว่างการรักษา ทำให้ผิวแย่ลงได้

  • เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างเหมาะสม

ระหว่างการรักษาหลุมสิวควรบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้นเพียงพอ เพื่อช่วยให้กระบวนการซ่อมแซมผิวทำงานได้ดีขึ้น

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ระหว่างการรักษาหลุมสิวมีมากมายหลายวิธี ไม่ว่าคุณจะเลือกรักษาหลุมสิวด้วยวิธีใดก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

  • ดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวมในระหว่างการรักษา

ระหว่างการรักษาหลุมสิวควรดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวมให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมาก ๆ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อช่วยเสริมให้ผิวฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น

การดูแลผิวอย่างเหมาะสมระหว่างการรักษาหลุมสิว จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและช่วยให้ผลลัพธ์ในการรักษาออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นได้อีกด้วย

 

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว

หลุมสิวมักเกิดจากการอักเสบรุนแรงของสิวที่ทำลายคอลลาเจนใต้ผิว หากดูแลไม่ถูกวิธีจะทำให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ไม่สมบูรณ์และเกิดเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมสิวขึ้นมาได้ โดยวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

  • ดูแลสิวอย่างเหมาะสมตั้งแต่เริ่มเป็นสิว ไม่ปล่อยให้เป็นสิวอักเสบลุกลาม 
  • หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิวด้วยตัวเอง เพราะการบีบสิวที่ไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดการอักเสบลึกและทำลายเนื้อเยื่อ เสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดรอยแผลเป็น หรือหลุมสิวได้
  • เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน อ่อนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์ ทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันรอยดำและกระตุ้นการซ่อมแซมผิว
  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตโดยการดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดความเครียดและหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ปรึกษาแพทย์หากเป็นสิวอักเสบรุนแรง เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ลดโอกาสการเกิดหลุมสิว

หลุมสิวเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนกังวล เนื่องจากส่งผลต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์ โดยทั่วไปแล้วหลุมสิวมักเกิดจากการอักเสบของสิวที่รุนแรง จนทำลายคอลลาเจนและโครงสร้างผิว เมื่อผิวซ่อมแซมตัวเองไม่สมบูรณ์จึงทิ้งรอยบุ๋มลึกหรือหลุมสิวไว้บนใบหน้า ซึ่งหลุมสิวสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทและแต่ละประเภทมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน 

 

หลุมสิวเป็นปัญหาที่สามารถรักษาได้ แต่ต้องอาศัยความต่อเนื่องและการเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน ซึ่งการเลือกวิธีที่เหมาะสมจึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นอันตราย

[elementor-template id="15452"]