5 ข้อควรรู้ก่อนทำเลเซอร์รักษาฝ้า เพื่อผิวหน้าเรียบเนียนใส
“ฝ้า” เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อยและสร้างความกังวลใจให้กับหลายคน เพราะนอกจากจะทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน หมองคล้ำ และมีสีผิวไม่สม่ำเสมอแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวันอย่างมาก การรักษาฝ้าอย่างถูกวิธีจึงมีความสำคัญ
ในปัจจุบันเลเซอร์รักษาฝ้าถือเป็นวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมสูง เพราะสามารถช่วยฟื้นฟูและรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลชัดเจนเมื่อทำอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาฝ้าให้ดี เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้การรักษาฝ้าของคุณมีประสิทธิภาพที่ดี และลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำในอนาคตได้ บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จัก 5 เรื่องสำคัญที่ควรรู้ก่อนทำเลเซอร์รักษาฝ้า
รวมสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า
ฝ้าพบได้บ่อยโดยเฉพาะในผู้หญิง ซึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยทั้งภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย ทำให้ผิวเกิดจุดด่างดำสีน้ำตาล และสีผิวไม่สม่ำเสมอ โดยสาเหตุหลักที่มักทำให้เกิดฝ้ามีดังนี้
สาเหตุการเกิดฝ้าจากปัจจัยภายในร่างกาย
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายที่รวดเร็ว ทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินทำงานมากขึ้น จนเกิดเป็นฝ้าได้
- การส่งต่อทางพันธุกรรม เนื่องจากพันธุกรรมมีผลต่อการตอบสนองของเซลล์เม็ดสีต่อแสงแดดและฮอร์โมน หากครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า โอกาสที่คนในครอบครัวจะเป็นฝ้าก็จะมีโอกาสสูงขึ้นเช่นกัน
- ความเครียด มักทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ จนบางบริเวณอาจผลิตเม็ดสีมากเกินไปจนเกิดเป็นจุดด่างดำหรือฝ้าได้
- การเสื่อมสภาพของผิวเมื่ออายุมากขึ้น จะทำให้ระบบฟื้นฟูสภาพเซลล์ผิวช้าลง เซลล์ผิวใหม่ขึ้นน้อยลง และการ ผลิตเม็ดสีเมลานินก็จะลดประสิทธิภาพลง การกระจายเม็ดสีจึงไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้บางบริเวณผิวเกิดจุดด่างดำ ฝ้า หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอได้ง่าย
สาเหตุการเกิดฝ้าจากปัจจัยภายนอกร่างกาย
- การสัมผัสกับแสงแดดจัด และรังสี UV เป็นเวลานานโดยไม่ป้องกัน ทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีเมลานินทำงานมากเกินไป จนเกิดการสร้างเม็ดสีออกมาผิดปกติ ส่งผลให้เกิดเป็นฝ้าและสีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ความร้อนและแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือหลอดไฟ ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน เนื่องจากแสงเหล่านี้สามารถกระตุ้นเมลาโนไซต์ให้ผลิตเม็ดสีเมลานินได้เหมือนกับการสัมผัสกับรังสี UV
- การอักเสบหรือระคายเคืองของผิว อาจทำให้เม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติและเกิดฝ้าและจุดด่างดำได้ง่าย
การเกิดฝ้าเกิดได้จากหลายปัจจัยร่วมกันทั้งภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย การป้องกันการเกิดฝ้าจึงควรดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

เลเซอร์รักษาฝ้า ทำงานอย่างไร ?
เลเซอร์รักษาฝ้า ทำงานอย่างไร ?
เลเซอร์รักษาฝ้าทำงานโดยการใช้พลังงานแสงในช่วงความยาวคลื่นที่เหมาะสม ยิงลงไปยังชั้นผิวหนังที่มีเม็ดสีเมลานินสะสมมากผิดปกติ โดยหลักการทำงานของเลเซอร์รักษาฝ้าจะทำงาน ดังนี้
- เลเซอร์รักษาฝ้าส่งพลังงานลงสู่ผิวหนัง
เลเซอร์รักษาฝ้าจะปล่อยพลังงานในช่วงความยาวคลื่นเฉพาะเข้าสู่ผิวหนัง โดยเลเซอร์จะทะลุผ่านผิวหนังชั้นนอก (epidermis) ไปยังผิวหนังชั้นแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นชั้นที่มีเม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ โดยพลังงานที่ส่งออกมาจะมีความเข้มข้นสูงและอยู่ในช่วงเวลาสั้นมาก ทำให้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังรอบข้าง
- เม็ดสีเมลานินดูดซับพลังงานแล้วแตกตัวออก
เมื่อพลังงานส่งลงถึงชั้นผิวหนังที่มีการสะสมของเม็ดสีเมลานิน เม็ดสีจะดูดซับพลังงานจากเลเซอร์ ทำให้เม็ดสีเกิดการแตกตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ โดยการดูดซับพลังงานจะช่วยลดการสะสมของเม็ดสีในชั้นผิว ทำให้รอยฝ้าดูจางลง
- ร่างกายกำจัดเม็ดสีส่วนเกินออกตามธรรมชาติ
เมื่อเม็ดสีเมลานินแตกตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ แล้วจะถูกเซลล์ภูมิคุ้มกันและระบบน้ำเหลืองของร่างกายค่อย ๆ กำจัดออกจากร่างกายตามกระบวนการทางธรรมชาติ ส่งผลให้รอยฝ้าค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ เมื่อทำเลเซอร์รักษาฝ้าอย่างต่อเนื่อง
เลเซอร์รักษาฝ้านอกจากการทำลายเม็ดสีเมลานินแล้ว เลเซอร์บางชนิดยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลเจนและอีลาสตินในชั้นผิวใหม่ ทำให้ผิวแข็งแรง เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์ขึ้น รวมถึงช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ทำให้ผิวดูกระจ่างใสได้อีกด้วย

ข้อดีของเลเซอร์รักษาฝ้า ที่ทำให้เป็นวิธีรักษายอดนิยม
ข้อดีของเลเซอร์รักษาฝ้า ที่ทำให้เป็นวิธีรักษายอดนิยม
การทำเลเซอร์รักษาฝ้าเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและไม่ก่อให้เกิดอันตราย นอกจากนี้การทำเลเซอร์รักษาฝ้ายังมีข้อดีหลายประการ ดังนี้
- จัดการกับเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำเลเซอร์รักษาฝ้าสามารถส่งพลังงานลงลึกไปยังผิวหนังชั้นแท้ ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังที่มีการสะสมของเม็ดสีเมลานินที่เป็นต้นเหตุของฝ้าได้โดยตรง ทำให้สามารถรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ฝ้าจางลง และทำให้สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น
การทำเลเซอร์รักษาฝ้าจะช่วยลดการสะสมของเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไปในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รอยฝ้าดูจางลงอย่างชัดเจนเมื่อทำต่อเนื่อง จึงทำให้ผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอมากขึ้น
- ผิวดูใส เรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
การทำเลเซอร์รักษาฝ้ายังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวกระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น ส่งผลให้ริ้วรอยเล็ก ๆ และรูขุมขนเล็กลงตามไปอีกด้วย ส่งผลให้สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้นมากอีกด้วย
- ลดรอยดำจากสิวและรอยหมองคล้ำอื่น ๆ ได้ด้วย
การทำเลเซอร์รักษาฝ้ายังสามารถช่วยลดเลือนรอยดำจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น รอยดำจากสิว หรือจุดด่างดำจากแสงแดดได้อีกด้วย จึงช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใส
การทำเลเซอร์รักษาฝ้ายังนอกจากจะรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังสามารถช่วยในการแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความรุนแรงของฝ้าในแต่ละบุคคลอีกด้วย

5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับเลเซอร์รักษาฝ้า
5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับเลเซอร์รักษาฝ้า
ก่อนการตัดสินใจทำเลเซอร์รักษาฝ้าควรเข้าใจข้อควรรู้ 5 ข้อเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายและมีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า ลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงหลังการทำได้ โดย 5 ข้อควรรู้ก่อนทำเลเซอร์รักษาฝ้า มีดังนี้
- เลือกชนิดเลเซอร์ให้เหมาะสมกับประเภทฝ้า
ฝ้ามีหลายประเภทการทำเลเซอร์รักษาฝ้าเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสมกับประเภทฝ้า จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาฝ้าที่ชัดเจนและลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงหรือเกิดรอยดำหลังเลเซอร์
- ควรเข้ารับการทำเลเซอร์รักษาฝ้าจากแพทย์และในคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ
เลเซอร์รักษาฝ้าใช้พลังงานแสงเข้มข้น หากทำเลเซอร์รักษาฝ้าด้วยผู้ที่ไม่มีความรู้ อาจเกิดแผล รอยไหม้ หรือฝ้าอาจกลับมาได้ ดังนั้นควรเข้ารับบริจาคแพทย์หรือคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ มีใบอนุญาต
- การทำเลเซอร์รักษาฝ้าต้องทำต่อเนื่อง
การเลเซอร์รักษาฝ้าต้องทำหลายครั้งตามแผนการรักษาฝ้าที่วางแผนไว้ร่วมกับแพทย์ เพื่อให้เม็ดสีเมลานินค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องและไม่ก่อให้เกิดอันตราย
- หลังการทำเลเซอร์รักษาฝ้าต้องปกป้องผิวจากแสงแดด
หลังการทำเลเซอร์รักษาฝ้าผิวจะไวต่อแสงมากกว่าปกติ จึงจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงและความร้อน รวมถึงควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดสีใต้ผิวถูกกระตุ้นจนเกิดฝ้าซ้ำ
- หลังการทำเลเซอร์รักษาฝ้าอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยและชั่วคราว
หลังการทำเลเซอร์รักษาฝ้าอาจมีโอกาสเกิดผิวแดง แสบร้อน หรือบวมเล็กน้อยได้ ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้เป็นอาการปกติที่สามารถหายได้ภายในเวลาไม่กี่วัน นอกจากนี้หลังการทำเลเซอร์รักษาฝ้าควรดูแลผิวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผิวสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว
เลเซอร์รักษาฝ้าเป็นวิธีที่ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น แต่ถ้าหากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดอันตราย ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ในการเลือกเครื่องเลเซอร์ที่เหมาะสม และดูแลผิวหลังทำอย่างถูกวิธี

รวมเลเซอร์รักษาฝ้า พร้อมเปรียบเทียบข้อดี–ข้อควรระวังของแต่ละประเภท
รวมเลเซอร์รักษาฝ้า พร้อมเปรียบเทียบข้อดี–ข้อควรระวังของแต่ละประเภท
ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีเลเซอร์รักษาฝ้ามากมายหลายโปรแกรมที่ช่วยในการลดเลือนฝ้าได้อย่างไม่ก่อให้เกิดอันตราย โดยการเลือกเลเซอร์รักษาฝ้า สามารถพิจารณาได้จากประเภทของฝ้า ความลึกของเม็ดสี และสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยสามารถเปรียบเทียบข้อแตกต่างของโปรแกรมรักษาฝ้ายอดนิยม พร้อมข้อดีและข้อควรระวังของแต่ละประเภท ได้ดังนี้
1.เลเซอร์รักษาฝ้า Sylfirm X Plus
Sylfirm X Plus ทำงานโดยการปล่อยคลื่นพลังงาน Radio Frequency แบบ Microneedling RF ผ่านหัวเข็มขนาดเล็กที่เคลือบทอง ซึ่งส่งพลังงานลงสู่ผิวด้วยระบบ Dual Wave ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกและแม่นยำ ทั้งในระดับชั้นผิวตื้นและชั้นผิวลึก จึงช่วยให้รอยฝ้าดูลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ
เลเซอร์รักษาฝ้า Sylfirm X Plus เหมาะกับ
- การรักษาฝ้าเลือดฝอย
- การรักษาฝ้าผสม
- การรักษาฝ้าเรื้อรัง หรือฝ้าที่เกิดซ้ำบ่อย ๆ
ข้อดีของเลเซอร์รักษาฝ้า Sylfirm X Plus
- ลดฝ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
- เหมาะกับทุกสภาพผิว
- ช่วยลดเส้นเลือดฝอยผิดปกติได้ จึงสามารถรักษาฝ้าที่มีต้นเหตุจากเลือดฝอยได้ด้วย
- ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมผิวจากภายใน จึงสามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างล้ำลึก
- พักฟื้นน้อย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
ข้อควรระวังของเลเซอร์รักษาฝ้า Sylfirm X Plus
- ควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์
- ระหว่างทำอาจจะรู้สึกยิบ ๆ หรือรู้สึกอุ่น ๆ ได้ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของพลังงาน RF
- หลังการทำเลเซอร์รักษาฝ้า Sylfirm X Plus ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและใช้ครีมกันแดดอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดกระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำ
2.เลเซอร์รักษาฝ้า Nu Pico Laser
Nu Pico Laser ทำงานโดยการใช้พลังงานแสงความเร็วสูงระดับ Picosecond ซึ่งเป็นการปล่อยพลังงานในช่วงเวลาที่สั้นมาก ทำให้สามารถทำลายเม็ดสีเมลานินได้อย่างละเอียด แม่นยำ จนร่างกายสามารถขับออกได้ตามธรรมชาติ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้างและไม่ก่อให้เกิดความร้อนสะสมในผิว
เลเซอร์รักษาฝ้า Nu Pico Laser เหมาะกับ
- การรักษาฝ้าตื้น
- การรักษาฝ้าลึก
- การรักษาฝ้าผสม
ข้อดีของเลเซอร์รักษาฝ้า Nu Pico Laser
- ลดเลือนฝ้าได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
- มีโอกาสในการเกิดรอยดำหรือการอักเสบน้อยลง เนื่องจากไม่เกิดความร้อนสะสมสูงในผิว
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแลดูเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ และมีความกระจ่างใสมากขึ้น
- เหมาะกับทุกสภาพผิวไม่ว่าจะเป็นผิวมัน แห้ง หรือผิวแพ้ง่าย
ข้อควรระวังของเลเซอร์รักษาฝ้า Nu Pico Laser
- Nu Pico Laser ต้องทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งขึ้นอยู่กับความเข้มของฝ้า เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
- หลังการทำเลเซอร์ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง เพื่อป้องกันการกระตุ้นเม็ดสีใหม่
- หลังการทำเลเซอร์ฝ้าด้วย Nu Pico Laser อาจมีรอยแดงหรือผิวแห้งเล็กน้อยได้ในช่วง 1-2 วันแรก
3.เลเซอร์รักษาฝ้า Dual Yellow Laser
Dual Yellow Laser ทำงานโดยการใช้แสงเลเซอร์ 2 ชนิดร่วมกัน ได้แก่ เลเซอร์แสงสีเหลืองความยาว 578 nm และเลเซอร์แสงสีเขียวความยาว 511 nm โดยพลังงานแสงทั้งสองชนิดนี้จะทำงานร่วมกันเพื่อลดเม็ดสีเมลานินและลดการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยใต้ผิว ทำให้รอยฝ้าจางลง ผิวแลดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
เลเซอร์รักษาฝ้า Dual Yellow Laser เหมาะกับ
- การรักษาฝ้าตื้น
- การรักษาฝ้าลึก เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
- การรักษาฝ้าผสม
ข้อดีของเลเซอร์รักษาฝ้า Dual Yellow Laser
- ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินได้อย่างแม่นยำ โดยไม่กระทบผิวรอบข้าง
- ลดการอักเสบของผิวและรอยแดงจากฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไม่ก่อให้เกิดแผลหรือรอยดำหลังการทำ จึงไม่ต้องพักฟื้น
- ช่วยลดเส้นเลือดฝอยบนใบหน้าได้
ข้อควรระวังของเลเซอร์รักษาฝ้า Dual Yellow Laser
- ควรทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ชัดและคงที่
- หลังทำควรหลีกเลี่ยงการออกแดดจัดอย่างน้อย 3–5 วัน และหมั่นทาครีมกันแดด SPF 50+ ทุกวัน
- ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรให้แพทย์ทดสอบก่อนเริ่มการรักษา
เครื่องเลเซอร์รักษาฝ้ามีหลายประเภท การเลือกเครื่องเลเซอร์ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากประเภทของฝ้า ความลึกของเม็ดสี และสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดอันตราย
5 วิธีการเลือกเลเซอร์รักษาฝ้า เพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตราย และลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
การทำเลเซอร์รักษาฝ้าให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นอันตราย ควรพิจารณาเลือกเลเซอร์ให้เหมาะกับปัญหาผิวและประเภทของฝ้า เนื่องจากเลเซอร์แต่ละชนิดมีความยาวคลื่น พลังงาน และกลไกการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยการเลือกเลเซอร์รักษาฝ้า สามารถพิจารณาได้จากปัจจัยดังนี้
- วิเคราะห์ประเภทของฝ้าก่อนทำเลเซอร์ เพื่อช่วยให้สามารถเลือกชนิดของเลเซอร์ได้เหมาะสมและลดความเสี่ยงในการใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสม
- เลือกเครื่องเลเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว เนื่องจากเลเซอร์แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
- ปรึกษาแพทย์ในการวางแผนการรักษาและเลือกชนิดเลเซอร์ เพื่อให้เม็ดสีเมลานินจางลงอย่างไม่เป็นอันตรายและให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
- ตรวจสอบมาตรฐานของคลินิกและเครื่องเลเซอร์ เพื่อให้มั่นใจว่าคลินิกและเครื่องเลเซอร์รักษาฝ้าที่ทำมีมาตรฐานและไม่ก่อให้เกิดอันตรายในระหว่างที่ทำ
- สังเกตผลลัพธ์และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการตอบสนองของผิวและปรับแนวทางการรักษาฝ้าให้เหมาะสม
การเลือกเลเซอร์รักษาฝ้าให้เหมาะกับตนเองต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เพื่อให้ได้การรักษาที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย และได้รับผลลัพธ์ในการรักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพ

4 ข้อที่คนมักเข้าใจผิด เกี่ยวกับการทำเลเซอร์รักษาฝ้า
4 ข้อที่คนมักเข้าใจผิด เกี่ยวกับการทำเลเซอร์รักษาฝ้า
แม้เลเซอร์รักษาฝ้าจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดรอยฝ้าได้อย่ามีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความเข้าใจผิดอยู่หลายประการที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำเลเซอร์รักษาฝ้า ดังนี้
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาฝ้า 1 : ทำเลเซอร์รักษาฝ้าครั้งเดียว ฝ้าจะหายเลย
ฝ้าเป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานิน และสามารถถูกกระตุ้นให้เกิดซ้ำได้จากปัจจัยต่าง ๆ ทำให้การรักษาฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายได้ในครั้งเดียวแม้จะเป็นการทำเลเซอร์ก็ตาม ซึ่งการทำเลเซอร์รักษาฝ้าต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เม็ดสีเมลานินค่อย ๆ ลดจางลง
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาฝ้า 2 : เลเซอร์แรงจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
อีกหนึ่งความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำเลเซอร์รักษาฝ้า คือ การใช้พลังงานเลเซอร์แรง ๆ จะช่วยให้ฝ้าจางลงรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงแล้วการใช้พลังงานเลเซอร์สูงเกินไปอาจทำให้ผิวเสี่ยงต่อการไหม้ แดง หรือเกิดรอยดำหลังการทำเลเซอร์ได้ ดังนั้นการทำเลเซอร์รักษาฝ้าควรเลือกพลังงานที่เหมาะสมตามคำแนะนำและการประเมินของแพทย์ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างเหมาะสม
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาฝ้า 3 : เลเซอร์ฝ้าทุกชนิดเหมาะกับทุกคน
แม้ว่าการทำเลเซอร์รักษาฝ้าจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่การทำเลเซอร์ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาผิวบางประเภท หรือผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ดังนั้นก่อนการตัดสินใจทำเลเซอร์รักษาฝ้า ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ เพื่อวิเคราะห์สภาพผิว เลือกประเภทเลเซอร์ที่เหมาะสมกับผิว และปรับระดับพลังงานให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง และได้ผลลัพธ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาฝ้า 4 : หลังจากการทำเลเซอร์รักษาฝ้าไม่ต้องทาครีมกันแดด
หลังการทำเลเซอร์รักษาฝ้า ผิวอาจจะไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ เนื่องจากผิวกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู การไม่ทาครีมกันแดดหรือออกแดดจัดโดยไม่ป้องกัน จะยิ่งกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินถูกผลิตออกมามากยิ่งขึ้น ทำให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นมากกว่าเดิมได้
การทำเลเซอร์ถือเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า การเข้าใจหลักการทำงานของเลเซอร์อย่างถูกต้อง จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าในระยะยาวโดยไม่เป็นอันตราย อีกทั้งยังช่วยลดความหมองคล้ำ และทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้นได้อีกด้วย
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์รักษาฝ้า
แม้ว่าการทำเลเซอร์รักษาฝ้าจะไม่เป็นอันตราย และสามารถทำได้แม้กระทั่งในผู้ที่มีผิวบอบบาง แต่ก็มีบางบุคคลที่ควรต้องให้แพทย์ประเมินอย่างละเอียด หรือควรชะลอการทำเลเซอร์ไปก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์รักษาฝ้า หรือควรปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด มีดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือมีแผลเปิดบนใบหน้า ควรรอให้ผิวหายก่อน จึงจะสามารถทำเลเซอร์ได้ เนื่องจากหากทำในขณะที่ผิวมีปัญหาเหล่านี้อยู่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในภายหลังได้
- ผู้ที่มีผิวไวต่อแสง หรือกำลังใช้ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง ควรปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดก่อนการทำเลเซอร์รักษาฝ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยแดงหรือรอยไหม้หลังทำ
- ผู้ที่มีประวัติเป็นคีลอยด์หรือแผลนูนง่าย การทำเลเซอร์ต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีแนวโน้มต่อการตอบสนองต่อความร้อนไว้มากกว่าปกติ ทั้งนี้ในบางบุคคลที่เป็นอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงก่อน หากต้องการทำจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ไปก่อน แม้เลเซอร์จะไม่ได้ซึมเข้าสู่ร่างกายโดยตรง แต่ในช่วงนี้ฮอร์โมนในร่างกายยังไม่คงที่ จึงควรรอให้ฮอร์โมนกลับเข้าสู่ภาวะปกติก่อน
- ผู้ที่มีโรคผิวหนังบางประเภท เช่น โรคสะเก็ตเงิน หรือโรคผิวอักเสบเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเลเซอร์ เนื่องจากผิวอาจไวต่อแสงเลเซอร์และความร้อนมากกว่าปกติ การทำเลเซอร์โดยไม่ได้รับการประเมินและดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด อาจทำให้เกิดการอักเสบ หรือสภาพโรคแย่ลงได้
สรุป 5 ข้อควรรู้ก่อนการทำเลเซอร์รักษาฝ้า เพื่อการรักษาที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย
การทำเลเซอร์รักษาฝ้าเป็นวิธีการรักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพ แต่เพื่อการรักษาที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายและเห็นผลระยะยาว ควรคำนึงถึงการทำอย่างถูกวิธี และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อประเมินประเภทและความลึกของฝ้าในการช่วยเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสม รวมทั้งควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และลดโอกาสการกลับมาของฝ้าได้ในระยะยาว
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด