ฉีดฟิลเลอร์

ข้อดีและข้อเสีย การฉีดฟิลเลอร์คาง VS การทำศัลยกรรมเสริมคาง

ปัญหาคางสั้น ทำให้ใบหน้าดูกลม ไม่ได้สัดส่วน หลายคนที่มีปัญหานี้ และอยากที่จะแก้ไขให้มีคางที่ยาวขึ้น เพื่อให้หน้าดูเรียวขึ้นนั้น ปัจจุบันสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์คาง หรือ การทำศัลยกรรมเสริมคาง  วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสียของการรักษาทั้ง 2 แบบ เพื่อให้ทุกคนได้ศึกษาข้อมูลแล้วนำมาตัดสินใจว่าจะรักษาแบบไหนดีในภายหลังกันได้ค่ะ

ก่อนอื่นนั้น เคยสงสัยกันไหมคะว่า ทำไมบางคนถึงดูหน้าตาดีมากๆ อันที่จริงแล้วคนหน้าตาดีเป็นเรื่องของพันธุกรรมที่กำหนดให้ตากลมโต สีของนัยน์ตากระจ่างใส ผิวละเอียด ผมเส้นเล็กสลวยเงางาม รวมทั้งจมูกโด่งเป็นสัน และรูปใบหน้าที่สวยงาม เคยมีการศึกษาวิจัยในการมองเห็นและการตอบสนองของการมองภาพใบหน้าคนหลายๆ คน พบว่าคนที่มีใบหน้าที่สมมาตรหรืออัตราส่วนต่างๆ บนใบหน้าที่เหมาะสมจะมีแนวโน้มที่ดึงดูดสายตาหรือคนให้ความสนใจมากกว่า และส่งผลให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ดีกว่า ซึ่งความสมมาตรของใบหน้าคนเรานั้นสองซีกมักจะไม่เท่ากันร้อยเปอร์เซ็นต์แต่จะมีความใกล้เคียงกันมาก

ในปัจจุบันเรื่องสุขภาพและความสวยงามมีการพัฒนาอย่างมากและมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงเกิดขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ บนใบหน้า ช่วยเสริมสัดส่วนให้ดูดี ดูอ่อนเยาว์ ผิวสวยขึ้น และสุขภาพดีขึ้น ซึ่งการทำหัตถการจะเป็นวิธีที่ไม่ทิ้งรอยบาดแผล เจ็บน้อย และมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ส่วนการทำศัลยกรรม อาจทิ้งรอยแผลไว้ และจำเป็นต้องมีการพักฟื้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการหรือความสะดวกของแต่ละบุคคล การมีรูปใบหน้าที่สวยงามนั้น สิ่งที่คนให้ความกังวลมากส่วนหนึ่งของใบหน้าคือคางที่ไม่ได้สัดส่วนบนใบหน้า ดังนั้นเรามาดูกันค่ะว่า ระหว่างการฉีดสารฟิลเลอร์คาง และการทำศัลยกรรมเสริมคาง ต่างกันอย่างไรบ้าง

การฉีดฟิลเลอร์คาง กับ การศัลยกรรมเสริมคาง แตกต่างกันอย่างไร

การฉีดฟิลเลอร์คาง คือ ทางเลือกในการปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น โดยการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA ที่สกัดจากธรรมชาติมีความปลอดภัยสูง สารเติมเต็มที่ใช้ฉีด ได้ผ่านรับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสามารถใช้ฉีดเติมเต็มในบริเวณที่ต้องการได้ ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ถาวรจะสลายไปเองตามธรรมชาติตามกระบวนการย่อยสลายของร่างกาย โดยระยะเวลาของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อของผลิตภัณฑ์ที่เราเลือกใช้ แต่การอยู่ได้ไม่ถาวรนั้นก็มีข้อดี คือ เมื่อเราอายุมากขึ้นรูปใบหน้าเราจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น จากกระดูกบนใบหน้าที่ทรุดตัวลงและใบหน้าที่หย่อนคล้อยเพิ่มขึ้นเราจะสามารถที่จะปรับเปลี่ยนการฉีดฟิลเลอร์ไปตามระยะเวลานั้นๆ ได้ ต่อมาเรามาดูข้อดี ข้อเสีย ของการฉีดฟิลเลอร์คางกันเป็นข้อๆ ดังนี้

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  1. เป็นสารเติมเต็มที่สกัดจากสารธรรมชาติ ปลอดภัย มีการรับรองการใช้สารเติมเต็มนี้จากองค์กรทั้งในและต่างประเทศที่เชื่อถือได้
  2. สารเติมเต็มที่ใช้สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติตามกระบวนการของร่างกาย สลายได้หมด ไม่ตกค้าง และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  3. ใช้เวลาไม่นานในการฉีดเติมเต็มคาง เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล หลังทำเสร็จเห็นผลทันที
  4. ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากก่อนและหลังทำ ดูแลตัวเองง่าย สะดวก ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  5. เมื่อครบระยะเวลาของการฉีดเติมเต็มคาง สามารถเติมเพิ่มได้เรื่อยๆ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่การประเมินอาการของแพทย์ผู้มีประสบการณ์
  6. หากฉีดเติมเต็มคางไปแล้วไม่ชอบทรง หรืออยากแก้ไขก็สามารถฉีดสลายได้ทันที โดยไม่ต้องรอระยะเวลาสารสลาย

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  1. เพราะผลลัพธ์ที่อยู่ได้ไม่นาน ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดบริเวณคางจึงเป็นแบบชั่วคราว ซึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 1 – 2 ปี อาจต้องกลับมาฉีดใหม่เพื่อเติมเต็มส่วนที่สลายไป เมื่อครบกำหนดระยะเวลาของการฉีดฟิลเลอร์คาง
  2. การฉีดสารเติมเต็มคางไม่สามารถเติมความยาวของคางได้เกิน 1 ซม. จึงเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาคางสั้นไม่มาก คางตัด คางบุ๋ม จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ในกรณีของคนที่มีคางสั้นมากๆ อาจไม่เหมาะกับการฉีด เพราะไม่สามารถทำให้รูปทรงของคางดูยาวมากได้ดังนั้นจึงแนะนำให้ผ่าตัดเสริมซิลิโคนซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดกว่า
ฉีดสารเติมเต็มคาง

การทำศัลยกรรมเสริมคาง เป็นการผ่าตัดเล็กสามารถเสริมคางได้ด้วยซิลิโคน ผลลัพธ์จะอยู่ถาวร ซิลิโคนที่เลือกใช้จะสามารถออกแบบปรับรูปทรงตามความต้องการและความเหมาะสมของรูปใบหน้าของแต่ละคน การผ่าตัดจะทำได้ 2 แบบ คือการเสริมคางแผลนอก และการเสริมคางแผลใน

ข้อดีของการศัลยกรรมเสริมคาง

  1. การเสริมคางด้วยซิลิโคนจะสามารถคงอยู่ได้ถาวร ประหยัดเรื่องค่าใช้จ่ายมากกว่าการที่ต้องฉีดเติมเต็มคางซ้ำ
  2. ซิลิโคนที่นำมาเสริมสามารถเหลา หรือปรับขนาด ตามปัญหาคางของแต่ละบุคคลได้ และสามารถปรับแต่งรูปทรงได้ตามต้องการ
  3. สามารถแก้ไขปัญหาความยาวของคางได้มากกว่าการฉีดเติมเต็มคาง

ข้อเสียของการทำศัลยกรรมเสริมคาง

  1. การทำศัลยกรรมเสริมคาง กรณีเสริมคางแบบแผลนอก ต้องเปิดแผลเฉลี่ยอยู่ที่ 1 – 1.5 เซนติเมตร ส่วนกรณีเสริมคางแบบแผลใน ต้องเปิดแผลประมาณ 2 เซนติเมตร หรือแล้วแต่ขนาดของซิลิโคน เพื่อให้สามารถนำซิลิโคนเข้าไปวางในตำแหน่งนั้นได้
  2. อาจเกิดรอยแผลเป็น ซึ่งขึ้นอยู่แต่ละบุคคล ในบางรายอาจมีสภาพผิวที่ส่งผลต่อการเกิดแผลเป็นนูนหรือเรียกว่าแผลคีรอยด์ได้ แต่เกิดได้น้อย เพราะแผลมีขนาดเล็กมาก ซึ่งหากเป็นการฉีดเติมเต็มคางจะไม่มีแผล แต่จะมีรอยเข็มเล็กๆ ได้เช่นกัน
  3. หลังการผ่าตัดต้องพักฟื้นและนัดตัดไหมประมาณ 7 วัน ถึงจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ รูปทรงคางจะเข้าที่ประมาณ 1 – 3 เดือน จึงอาจจะเห็นผลได้ช้ากว่าการฉีดคาง
  4. หลังการทำศัลยกรรมคาง อาจมีประเภทอาหารที่จำกัดมากขึ้น จำเป็นต้องงดอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการทำให้แผลอักเสบ หรือบวมนานกว่าปกติ เช่น อาหารที่มีรสเผ็ด และเข็มเกินไป เป็นเวลาประมาณ 1 เดือนหลังผ่าตัด

สรุป การจะเลือกวิธีการใดก็ตามเพื่อแก้ไขปัญหาคางต่างๆ ทั้งการฉีดฟิลเลอร์คาง หรือการทำศัลยกรรมเสริมคาง เราสามารถเลือกวิธีการใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ รวมไปถึงปัญหาของแต่ละบุคคล และความเหมาะสมในการรักษาด้วย เพื่อให้ตรงกับปัญหาของเรามากที่สุด การเสริมคางมีทั้งแบบผ่าตัด และไม่ผ่าตัด อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรักษาด้วยวิธีใด แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ และหาข้อมูลร่วมด้วยในการช่วยตัดสินใจ เพราะแพทย์สามารถแนะนำแนวทางได้ว่าปัญหาของเราควรรักษาวิธีใดถึงจะเหมาะสมที่สุด และที่สำคัญที่ คือ ให้เลือกทำการรักษากับคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้รับมาตรฐาน ห้องผ่าตัดสะอาด ปลอดเชื้อ มีเครื่องมือครบ และทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความปลอดภัยของเราต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือปรึกษาปัญหากับแพทย์
ได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้
แชร์บทความนี้