4 โปรแกรมบอกลาฝ้า รักษาฝ้าอย่างตรงจุด โดยแพทย์ผิวหนัง
Romrawin Melasma Expert (รมย์รวินท์ เมลาสม่า เอ็กซ์เพิร์ท) จัดการฝ้าทุกระดับ ลบรอยดำ เนรมิตผิวออร่าด้วยโค้ดลับผิวกระจ่างใส “4 โปรแกรมรักษาฝ้า” รังสรรค์โดย แพทย์หญิง ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล แพทย์ผู้อำนวยการ และผู้ก่อตั้ง รมย์รวินท์ คลินิก
สุดยอดโปรแกรมบอกลาปัญหาฝ้าบำรุงลึกถึงเซลล์ผิว และสร้างเซลล์ผิวใหม่ เผยประกายผิวขาว กระจ่างใสเนียนนุ่มน่าสัมผัส ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุค PM 2.5 ที่มีมลพิษทางอากาศมากขึ้นทุกวัน ด้วยเทคนิคการรักษาฝ้า ของ Romrawin Clinic คลินิกรักษาฝ้าอันดับ 1 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี เน้นการรักษาให้ฝ้าหายจริง รอยจางเร็ว เห็นผลจริง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลคนไข้เองทุกเคสด้วยระดับมืออาชีพ แต่ก่อนที่เราจะดูไปโปรแกรมรักษาฝ้า เรามาทำความรู้จักกับ “ฝ้า กระ จุดด่างดำ” กันก่อนดีกว่าว่ามีความแตกต่างกันยังไง เพื่อไปสู่การรักษาที่ถูกต้อง ตรงจุด และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ฝ้า กระ แตกต่างกันอย่างไร
- กระคืออะไร?
- ฝ้าคืออะไร?
- ฝ้าเกิดได้อย่างไร ?
- ประเภทของฝ้า
- สาเหตุของการเกิดฝ้า
- การรักษาฝ้า
- การรักษาฝ้า ให้ได้ผลดีที่สุด
- การใช้ยาทารักษาฝ้า
- ใช้ครีมบำรุงที่มีสารช่วยรักษาฝ้า
- เลเซอร์รักษาฝ้า กระลึก
- การลอกผิวเพื่อรักษาฝ้า (Peeling Agent)
- การรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์ คลินิก Romrawin Clinic
- ข้อดีของโปรแกรมรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์ คลินิก Romrawin Clinic
- Code of white mini โปรแกรมรักษาฝ้า 2 ขั้นตอน เน้นรักษาเฉพราะจุด
- Code of white โปรแกรมรักษาฝ้า ด้วยกรดผลไม้ ไม่ง้อเข็ม ไม่เจ็บ
- Code of white plus โปรแกรมรักษาฝ้า ตัดวงจรฝ้า
- Smart aura code โปรแกรมรักษาฝ้า ตัดวงจรฝ้า พร้อมบำรุง ผิวไม่บาง
- การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรมรักษาฝ้า

หนึ่งในปัญหาผิวที่เป็นที่หนักใจของผู้หญิงทั่วโลกก็คือ “ฝ้า กระ จุดด่างดำ” เพราะมีรอยสีน้ำตาลหรือดำที่เด่นชัดเจน โดยเฉพาะฝ้าแดด ทำให้สูญเสียความมั่นใจเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นการเข้าใจเกี่ยวกับฝ้าและการเลือกวิธีการรักษาที่ถูกต้องแบบไม่มีผลข้างเคียง ไม่เพียงช่วยลดเลือนฝ้า แต่ยังทำให้เผยผิวและใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ มีสุขภาพดีในระยะยาว โดยมีบริเวณที่พบฝ้าบ่อยมากที่สุดดังนี้
• โหนกแก้ม
• หน้าผาก
• เหนือริมฝีปาก
• คาง
ฝ้า กระ แตกต่างกันอย่างไร
นอกจากอาการฝ้าขึ้นหน้าแล้ว ฝ้ายังเกิดในบริเวณอื่นทั่วใบหน้าได้อีก ทั้งฝ้าที่จมูก ฝ้า หนวด ฝ้าตรงโหนกแก้มแล้ว อาการของจุดด่างดำที่เกิดบนผิวมีอีกแบบ เรียกว่า “กระ” ฝ้า กระมีความคล้ายคลึงกัน แต่ลักษณะของจุดด่างดำของฝ้าและกระมีความแตกต่างกันในหลายจุด
หากเรารู้ถึงลักษณะของ ฝ้ากระจุดด่างดำ แต่ละแบบจะทำให้เรารู้ถึงต้นตอของปัญหาผิว และเราจะสามารถรู้ถึงวิธีรักษาป้องกันฝ้าได้อย่างถูกจุด
กระคืออะไร?
กระ (Freckle) จะมีลักษณะเป็นจุดด่างดำ หรือรอยด่างดำ มักมีทรงกลมสีน้ำตาล ขนาดเล็ก มีขอบที่ชัดเจนไม่เป็นปื้น เกิดได้ทั้งบนใบหน้าและร่างกายส่วนอื่นๆ เช่น คอ แขน
ทั้งฝ้าและกระเกิดจากการทำงานของเม็ดสีที่ผิดปกติ เกิดได้จากหลายปัจจัยอย่างฮอร์โมนภายในร่างกายหรือการรับประทานยาบางชนิด อาการแพ้สะสมจากส่วนผสมของเครื่องสำอางบางประเภท แต่ปัจจัยที่พบเจอได้ง่ายและส่งผลกระทบค่อนข้างมากคือรังสียูวีเอ และยูวีบี (UVA, UVB) จาก แสงแดดที่ทำร้ายผิว ปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นการทำงานเซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเกิดฝ้าและกระได้
ฝ้าคืออะไร?
ฝ้า (Melasma) คือรอยคล้ำสีดำ หรือน้ำตาลอ่อน มักเกิดบริเวณโหนกแก้ม คาง หน้าผาก ที่พบได้บ่อยมากโดยเฉพาะในคนเอเชีย (ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย) ซึ่งอาจเป็นปัญหาผิวที่ไม่ใช่โรคร้ายแรง ไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ แต่สามารถส่งผลกระทบในด้านบุคลิกภาพและความมั่นใจได้
ฝ้าเกิดได้อย่างไร ?
ฝ้าเกิดจากการที่ผิวถูกกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ในชั้นผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นสีคล้ำตั้งแต่จุดเล็กๆ กระจายทั่วใบหน้า หรือเป็นวงรอยด่างดำขนาดใหญ่ในบริเวณที่ถูกกระตุ้นเยอะที่สุด ซึ่งปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดการสร้างเม็ดสี (Melanin) ที่มากเกินไปนั้น โดยมักมีสาเหตุมาจากแสงแดดที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการผลิตเม็ดสีที่มากเกินปกติ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดเป็นรอยสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงเทา ส่วนมากจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในช่วงวัย 30-55 ปี
สาเหตุการเกิดฝ้ายังมีอีกหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม สีผิวของแต่ละคน อาทิเช่น คนที่ผิวคล้ำหรือมีผิวสีเข้มจะเกิดได้ง่ายกว่าคนผิวขาว รวมไปถึงการทานยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ การรักษาด้วยฮอร์โมน สามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้าขึ้นได้เช่นกัน
ประเภทของฝ้า
- ฝ้าตื้น (Epidermal type) เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีและลำเลียงเม็ดสีขึ้นสู่ผิวหนังชั้นบนสุด (ชั้นหนังกำพร้า)
คือฝ้าที่มีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาดำ และสามารถเห็นขอบเขตได้ชัดเจน
- ฝ้าลึก (Dermal type) เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังแท้ มีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีเทาอมฟ้า มีขอบเขตของฝ้าไม่ชัดเจน
คือฝ้าที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีออกมาอยู่ใต้ต่อชั้นหนังกำพร้า คืออยู่ในชั้นหนังแท้ (ผิวหนังชั้นอยู่ใต้หนังกำพร้า) จึงทำให้ฝ้าชนิดนี้มักจะมีสีอ่อนกว่าชนิดฝ้าตื้น โดยอาจมีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีน้ำตาลเทา หรือ สีม่วงอมน้ำเงิน นอกจากนี้ยังมีขอบเขตไม่ชัดเจน กลืนไปกับผิวหน้าเป็นบริเวณกว้าง
- ฝ้าผสม (Mixed type) ฝ้าที่มีการผสมกันระหว่างฝ้าลึก และฝ้าตื้นบนใบหน้า
คือฝ้าที่มีการผสมกันทั้งฝ้าชนิดตื้น และชนิดลึก เป็นชนิดที่พบมากที่สุด ในคนไข้ทั่วไป
สาเหตุของการเกิดฝ้า
- UVA / UVB ทั้ง UVA และ UVB และแสงที่ตามองเห็น (Visible Light)เป็นตัวการหลักที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า และยังอาจทำให้ผิวดูหมองคล้ำจากการไหม้หากตากแดดร้อนๆ เป็นเวลานานได้
- ฮอร์โมน ไม่ว่าจะเป็นจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย เช่น การตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือนหรือจากการได้รับฮอร์โมนจากภายเพิ่มขึ้น เช่น การทานยาคุมกำเนิด การทานยาฮอร์โมน การใช้เครื่องสำอางบางชนิดซึ่งจะมีส่วนทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานมากขึ้น จึงเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าปกติ
- เครื่องสำอาง ส่วนใหญ่จะมาจากการแพ้เครื่องสำอางและทำให้เกิดการระคายเคือง การอักเสบ ส่งผลให้เป็นรอยดำหมองคล้ำคล้ายฝ้า หรือทำให้ผิวอ่อนแอลงและถูกทำร้ายจากแสงแดดได้ง่าย
- ยาบางชนิด เช่นในกลุ่มยาที่มีปฏิกิริยาไวต่อแสง (Phototoxic Drugs) หรือยาทาในกลุ่มไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ที่มักจะผสมมาในครีมทาผิวสูตรเร่งผิวขาวที่ไม่ได้มาตรฐาน หากต้องมีการใช้ยาเหล่านี้จำเป็นต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- พันธุกรรม มีโอกาส 30-50% ที่จะเป็นฝ้าง่ายหากคนในครอบครัวเป็นการได้รับสารอาหารผิดปกติ โดยอาจได้รับสารบางอย่างไม่เพียงพอ หรือได้รับในสัดส่วนเกินพอดี ไม่สมดุล เช่น จะมีการพบการเกิดฝ้าได้ง่ายในผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ หรือขาดวิตามินบี 12 เป็นต้น

การรักษาฝ้า
ปัจจุบันมีหลายทางเลือกในการรักษา เพื่อลดการเกิด “ฝ้า กระ” ไม่ว่าจะเป็นการใช้เลเซอร์หรือการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารเคมีต่าง ๆ ที่มาช่วยปรับสีผิวและช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน
แต่ถ้าหากต้องการที่จะลองใช้การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ และการรักษาด้วยนวัตกรรม วันนี้ได้รวบรวมวิธีที่ช่วยลด “ฝ้า กระ” จากภายในสู่ภายนอกมาฝากกัน
วิธีรักษาฝ้าจากภายใน
- ปรับสมดุลฮอร์โมนภายในของร่างกายด้วยการปล่อยวางอารมณ์ฉุนเฉียวที่มากับวัยทอง
- หลีกเลี่ยงการรับฮอร์โมนจากภายนอก เช่น การใช้ฮอร์โมนทดแทนหรือการเทคยาฮอร์โมน
- ไม่ทานยาหรืออาหารเสริมมากเกินความพอดี และเปลี่ยนมาทานอาหารที่มีประโยชน์ทดแทน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
วิธีรักษาฝ้าจากภายนอก
- หลีกเลี่ยงการออกแดดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ
- บำรุงผิวหน้าด้วยสกินแคร์ที่เหมาะกับวัยของสภาพผิว
- หลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่ทำลายผิวจนเกิดการอักเสบ
- เลเซอร์เคลียร์เม็ดสีเมลานินส่วนเกิน ที่ก่อให้เกิดฝ้าใหม่หรือฝ้าซ้ำซ้อน
การรักษาฝ้า ให้ได้ผลดีที่สุด
การรักษาฝ้า สามารถทำได้โดยการรักษาฝ้าด้วยตัวเอง หรือการรับการรักษาฝ้ากับผู้เชี่ยวชาญ โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน หากต้องการรักษาฝ้าเร่งด่วนก็มีวิธีอย่าง เลเซอร์ฝ้า แต่ทั้งนี้วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละบุคคลด้วย
การใช้ยาทารักษาฝ้า
ยาทารักษาฝ้ามีหลายกลุ่ม ส่วนมากจะใช้รักษาฝ้าได้โดยเห็นผลตั้งแต่การใช้ 1-2 เดือนขึ้นไปและเห็นผลได้ชัดเจนหลังการใช้ 6 เดือนขึ้นไป มักใช้ได้กับฝ้าตื้นมากกว่า ถ้าเป็นฝ้าลึกการใช้ยาทารักษาฝ้าอย่างเดียวอาจเห็นผลค่อนข้างน้อย ยาทารักษาฝ้าโดยทั้งไปแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
- ยาที่ลดการสร้างเม็ดสี
- ยาที่ทำลายการสร้างเม็ดสี
- ยาที่ลดทำลายการสร้างเม็ดสี
ซึ่งที่ยาทารักษาทั้ง 3 ประเภทนี้ เป็นยาที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ยาผสมสารสเตียรอยด์ ซึ่งตัวยาแต่ละประเภทจะมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันเช่น อาการระคายเคือง แสบร้อนบริเวณผิวที่ทายา อาจมีการบวม แดง หรือผิวลอกเป็นขุย ดังนั้นยาสำหรับรักษาฝ้าควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ใช้ครีมบำรุงที่มีสารช่วยรักษาฝ้า
นอกจากการใช้ยาเพื่อรักษาแล้ว อีกตัวเลือกหนึ่งคือเซรั่มรักษาฝ้า หรือ ครีมบำรุงผิวหน้า ที่มีสารไวท์เทนนิ่งอย่างวิตามินซี อาร์บูติน สารสกัดจากถั่วเหลือง แนวโน้มการเกิดการระคายเคืองผิวค่อนข้างต่ำ เห็นผลช้ากว่ายาสำหรับรักษาฝ้าโดยเฉพาะแต่ช่วยดูแลผิวเป็นฝ้าได้ในระยะยาว และยังเป็นการบำรุงผิวไปในตัวอีกด้วย
เลเซอร์รักษาฝ้า กระลึก
การใช้เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์กระลึก เพื่อรักษาฝ้า กระจะมีความแม่นยำและตรงจุด จึงเป็นที่นิยมได้ปัจจุบันในการรักษาเสริมควบคู่กับการรักษาหลัก เนื่องจากวิธีเลเซอร์เป็นการทำลายเม็ดสี ช่วยแก้ไขปัญหาได้ที่ปลายเหตุ แต่ผิวก็ยังมีการสร้างเม็ดสีอยู่เรื่อยๆ
วิธีนี้อาจมีข้อดีที่ตรงจุด แต่การใช้แสงและเลเซอร์ทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีความไวต่อแสง ห้ามโดนแดดหลังการรักษา อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ ไปจนถึงความเสี่ยงในการเกิดฝ้าใหม่ที่เป็นได้ง่ายกว่าเดิม มีสีที่เข้มกว่าเดิม รวมไปถึงการเกิดแผลจากการทำเลเซอร์ด้วย
การลอกผิวเพื่อรักษาฝ้า (Peeling Agent)
การลอกผิวเพื่อรักษาฝ้าคือการใช้สารเคมีลอกผิวเพื่อกำจัดเม็ดสีในชั้นผิวออกไป เป็นวิธีการรักษาที่ต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเนื่องจากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไปอาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวรได้ และผิวห้ามโดนแสงแดดหลังการรักษาเพราะผิวจะมีความไวต่อแสง อาจเสี่ยงต่อการเกิดฝ้าที่เข้มขึ้นและมากขึ้นด้วย

การรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์ คลินิก Romrawin Clinic
ตัวยาเฉพาะของรมย์รวินท์ คลินิก Romrawin Clinic ทำหน้าที่เข้าไปยับยั้งการทำงานของเม็ดสีเมลานิน เพื่อช่วยชะลอโอกาสการเกิดฝ้าทั้งชั้นลึกและชั้นตื้นของผิว ลดรอยดำ ลดความหมองคล้ำ เป็นการฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายให้กลับมาดูสดใส เปล่งปลั่งขึ้นจากภายใน
ข้อดีของโปรแกรมรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์ คลินิก Romrawin Clinic
ฝ้าดูจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา เห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วและดีกว่าการรักษาฝ้าด้วยวิธีอื่นไม่เป็นอันตราย เพราะที่รมย์รวินท์ คลินิก Romrawin Clinic มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยผิวหนัง ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามลักษณะปัญหาผิวของคนไข้ได้ ทำให้เหมาะสำหรับทุกคน ทั้งผู้ที่มีฝ้าจางๆ ไปจนถึงผู้ที่มีฝ้าหนา สีเข้มเห็นชัด นอกจากทำให้ฝ้าจางลงยังช่วยปรับให้ผิวนุ่ม เนียนละเอียดขึ้น
Code of white mini โปรแกรมรักษาฝ้า 2 ขั้นตอน เน้นรักษาเฉพราะจุด
โปรแกรมรักษาฝ้า Code of white mini (D white + White 3 (1cc)
เป็นโปรแกรมรักษาฝ้าด้วยการทำทรีตเม้นต์ผลักตัวยาลงลึกถึงชั้นฉีดยา ไม่เจ็บ สบาย
White3 ตัวยาเฉพาะฉีดจุดดำให้จางลง
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหา ฝ้าแดด หน้าหมองคล้ำ
Code of white โปรแกรมรักษาฝ้า ด้วยกรดผลไม้ ไม่ง้อเข็ม ไม่เจ็บ
โปรแกรมรักษาฝ้า Code of white (D white + white pure+ white3 (3cc) + p white)
เป็นโปรแกรมรักษาฝ้าด้วยไวท์เพรียวกรดผลไม้ 5 – 10 นาที ต่อด้วยการทำทรีตเม้นต์ผลักตัวยาลงลึกถึงชั้นฉีดยา White3 ตัวยาเฉพาะฉีดจุดดำให้จางลง ทรีตเม้นต์บำรุงผิวด้านบน เคลือบผิวให้ชุ่มชื้น
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหา ฝ้าแดด หน้าหมองคล้ำ ฝ้าเลือด และกลัวเจ็บ กลัวเข็ม
Code of white plus โปรแกรมรักษาฝ้า ตัดวงจรฝ้า
โปรแกรมรักษาฝ้า Code of white plus (Smart Fem + d white + white pure+ white3 (3cc) + p white )
เป็นโปรแกรมรักษาฝ้าด้วยไวท์เพรียวกรดผลไม้ 5 – 10 นาที เลเซอร์ช่วยลดเม็ดสี ตัดวงจรฝ้า ไม่ส่งอาหารไปเลี้ยงเม็ดสี ต่อด้วยการทำทรีตเม้นต์ผลักตัวยาลงลึกถึงชั้นฉีดยา White3 ตัวยาเฉพาะฉีดจุดดำให้จางลง ทรีตเม้นต์บำรุงผิวด้านบน เคลือบผิวให้ชุ่มชื้น
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ฝ้าตื้น ฝ้าลึก
Smart aura code โปรแกรมรักษาฝ้า ตัดวงจรฝ้า พร้อมบำรุง ผิวไม่บาง
โปรแกรมรักษาฝ้า Smart aura code (Fem เลเซอร์ตัดวงจรฝ้า +Aura code+white3 (1cc) +white pure+p white)
เป็นโปรแกรมรักษาฝ้าด้วยไวท์เพรียวกรดผลไม้ 5 – 10 นาที เลเซอร์ช่วยลดเม็ดสี ตัดวงจรฝ้า ไม่ส่งอาหารไปเลี้ยงเม็ดสี ต่อด้วยการทำทรีตเม้นต์ผลักตัวยาลงลึกถึงชั้นฉีดยา White3 ตัวยาเฉพาะฉีดจุดดำให้จางลง Aura code วิตามินรวมช่วยเรื่องฝ้า เรื่องเม็ดสี ทรีตเม้นต์บำรุงผิวด้านบน เคลือบผิวให้ชุ่มชื้น
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวบาง ฝ้าลึก ฝ้าผสมมาเป็นเวลานานๆ
การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรมรักษาฝ้า
- หลีกเลี่ยงแสงแดด หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงเป็นเวลานาน แต่หากจำเป็นจริงๆ ให้ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ ขึ้นไป ควรเติมทุกๆ สองชั่วโมง และควรหาที่บังแดดเล็กน้อยอย่างการใส่หมวก หรือพกร่ม
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์
- ไม่ควรใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ในชีวิตประจำวันทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 PA+++ ขึ้นไป
- มีวินัยในการรักษา เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- มีวินัยในการดูแลตัวเองทาครีม รับประทานยา
หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ
สามารถปรึกษาเราได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก
📱โทร.080-1539000 และ 080-1549000
📮 Line@ @ : @Romrawinclinic