ฟิลเลอร์ คืออะไร… ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง
____ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือที่เรียกกันว่า HA ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่สร้างขึ้นโดยเลียนแบบสารธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในร่างกายของเรามีประโยชน์ในเรื่องของการสร้างความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว แต่ HA ในร่างกายจะค่อยๆสูญเสียไปเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
____การฉีดฟิลเลอร์ จึงเหมือนเป็นการเพิ่ม หรือเติมสารที่ร่างกายมีอยู่แล้วเข้าไปให้กลับคืนสู่สมดุล เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัย มั่นใจมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูงสุดในปัจจุบันค่ะ
หัวข้อ… ฟิลเลอร์
- สวยขึ้นอย่างปลอดภัยด้วยฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์แท้ + แพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญเท่านั้น
- ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท และแบบไหนที่ปลอดภัย
- ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม
- ฉีดฟิลเลอร์ตรงไหนได้บ้าง
- วิธีการเลือกฟิลเลอร์แท้
- ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม ?
- ฟิลเลอร์ที่ฉีดไปจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ ?
- ฉีดฟิลเลอร์มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?
- เตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ และดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ?
- อาการข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์
- ฉีดสลายฟิลเลอร์คืออะไร ?
- ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี มีวิธีเลือกอย่างไร ?
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์
- สอบถาม…เพิ่มเติม
สวยขึ้นอย่างปลอดภัยด้วยฟิลเลอร์
- ช่วยเติมเต็มใบหน้า
ในส่วนที่บุ๋ม หรือยุบลงไป หรือแก้ไขริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากอายุมากที่เพิ่มมากขึ้น เช่น เติมเต็มบริเวณร่องแก้ม ขมับ ใต้ตา
___ - ช่วยปรับคุณภาพผิว
ให้มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอยให้ผิวดูอิ่มฟู มีน้ำมีนวลขึ้น และช่วยให้รูขุมขนดูกระชับ เนียนเรียบขึ้น
___ - ช่วยสร้างมิติของใบหน้า
โดยใช้ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลชนิดเนื้อแข็งในการเสริมจมูก หรือเสริมคาง หรือเติมหน้าแก้มช่วยทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลง และมีมิติสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
____สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อคิดจะฉีดฟิลเลอร์ คือ ต้องแน่ใจว่าเป็น ฟิลเลอร์แท้ ที่ได้มาตรฐานการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ซึ่งจะ มีความปลอดภัยสูง โอกาสแพ้น้อยมาก ร่างกายสามารถย่อยสลายออกไปได้หมด แบบไม่เหลือสารตกค้าง และต้องฉีดโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น
____แพทย์เฉพาะทาง ที่ผ่านเคสมามากจะมีประสบการณ์สูง สามารถวิเคราะห์ปัญหาที่แท้จริงของคนไข้ และเข้าใจกายวิภาคของใบหน้าเป็นอย่างดี ทำให้สามารถแก้ไขและรักษาได้อย่างแม่นยำและตรงจุด ผลลัพธ์ที่ได้จะดูไม่ปลอม และเป็นธรรมชาติที่สุด
ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท และแบบไหนที่ปลอดภัย
____ในปัจจุบันมีการจำแนกแบ่งประเภทของฟิลเลอร์ไว้หลายแบบทั้งในเรื่องของความคงตัวของสารฟิลเลอร์ที่เป็นแบบชั่วคราว และถาวรในเรื่องของการสลายตัวที่เป็นแบบสลายตัวได้ และไม่สลายไป แล้วยังมีการแบ่งเป็นชนิดที่ร่างกายดูดซึมได้และดูดซึมไม่ได้ ฯลฯ
____ข้อควรรู้เบื้องต้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ จึงต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนว่าฟิลเลอร์แบบไหนที่มีความปลอดภัย
- ฟิลเลอร์แท้
แม้จะมีชนิดแยกย่อยมากมาย แต่ฟิลเลอร์ที่มีความ ‘ปลอดภัย’ และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทยปัจจุบันนี้ มีเพียงชนิดเดียว คือฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มที่เป็นไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA เท่านั้น ซึ่งจะมีเนื้อสัมผัส และความหนาแน่นของโมเลกุลหลายระดับ เนื้อสัมผัสมีความอ่อน-แข็งต่างๆกัน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับปัญหาในแต่ละเคส
สารเติมเต็มที่เป็น Hyaluronic Acid หรือ HA นี้ จะมีคุณสมบัติดูดซับน้ำบริเวณรอบๆและอุ้มน้ำไว้ ทำให้ผิวหนังเต่งตึง ริ้วรอยดูลดเลือนลง ดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และยังมีความสามารถในการหนุน หรือพยุงชั้นผิวหนังที่ดูบุ๋มลงไปให้ดูเต็มขึ้น อีกทั้งยังสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ คืออยู่ในร่างกายได้นานประมาณ 6 เดือน – 20 เดือน จึงมีความปลอดภัยสูง
- ฟิลเลอร์ปลอม
ฟิลเลอร์ประเภทที่เป็นสารแปลกปลอม และร่างกายไม่สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาตินั้นคือ ‘ฟิลเลอร์ปลอม’ ส่วนใหญ่ผลิตมาจากซิลิโคนเหลว พลาสติกสังเคราะห์ หรือพาราฟิน ซึ่งเมื่อถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้ว มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก อาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง หรือเมื่อฉีดไปสักพักจะเริ่มไหลย้อย ฟิลเลอร์ชนิดนี้อันตรายมาก ไม่สามารถเอาออกด้วยวิธีฉีดสลายได้ ต้องใช้วิธีขูดออก จนบางครั้งอาจมีการติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นที่จะต้องตัดเนื้อเยื่อที่เสียหายออกไป ทำให้ใบหน้าเกิดความเสียหาย และผิดรูปได้
ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม
____อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์เกิดจากอะไรได้บ้าง? ปรกติแล้วฟิลเลอร์ชนิดที่เป็นไฮยาลูรอนิค แอซิด ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) จะเป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นเพื่อเลียนแบบสารตามธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว จึงเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย
____แต่ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยอื่นๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งข้อควรรู้ที่สำคัญก่อนที่จะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ค่ะ
- อันตรายที่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน
____เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าว ‘ฟิลเลอร์ปลอม’ กันอยู่บ่อยครั้ง วิธีป้องกันความเสี่ยงที่จะเจอฟิลเลอร์ปลอมคือต้องรู้เท่าทัน อย่าเพิ่งหลงเชื่อคำโฆษณา ราคาถูกเกินไป ไม่มีที่มาที่ไปของยี่ห้อของฟิลเลอร์ชัดเจน ผู้ที่จะมาฉีดฟิลเลอร์ให้เราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นแพทย์ผิวหนังหรือไม่ คลินิกดูไม่น่าเชื่อถือ ขอให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย - เช็คให้ชัวร์ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้
____มีหลายวิธีที่จะตรวจสอบว่าฟิลเลอร์ที่กำลังจะฉีดเข้าไปในใบหน้าของคุณเป็นของแท้หรือไม่ แต่หากจะดูแค่ภายนอก ต้องขอบอกว่าค่อนข้างดูยากมาก เพราะปัจจุบันปลอมแพคเกจจิ้งได้เหมือนของแท้มาก ทางที่ดีนอกจากจะเช็คผลิตภัณฑ์ว่าแท้หรือไม่แท้ตามลิสต์แล้ว ก็ต้องพิจารณาประกอบกับแพทย์ และคลินิกที่น่าเชื่อถือด้วยค่ะ
- เช็คเลขทะเบียน อย.
ถูกต้องหรือไม่ โดยสามารถเช็คได้อย่างรวดเร็วที่เวปไซต์ของคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขได้ทันที
___ - ต้องมีฉลากภาษาไทยกำกับ
ดูกล่องทุกครั้งว่ามีฉลากภาษาไทยกำกับหรือไม่ จะมีรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ระบุราคา และวันผลิต วันหมดอายุอย่างชัดเจน
___ - เลข Lot. บนกล่อง กับเลข Lot. บนซอง บนหลอด หรือที่สติ๊กเกอร์ต้องตรงกัน
ในแต่ละยี่ห้ออาจจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมคือเลขที่ Lot. บนกล่อง กับ ผลิตภัณฑ์ในกล่องต้องตรงกัน
___ - ฟิลเลอร์แท้แต่ไม่ได้นำเข้าอย่างถูกต้อง อันตรายไหม
ความน่าเป็นห่วงในปัจจุบันไม่ได้มีแค่เรื่องฟิลเลอร์ปลอมเท่านั้น แต่ยังมีฟิลเลอร์แท้ที่ไม่ได้มีการนำเข้ามาอย่างถูกต้อง หิ้วมาจากต่างประเทศกันเอง โดยผู้รับบทฉีดให้ที่ไม่ใช้หมอ
____ประเด็นแรก คือ ฟิลเลอร์ก็แท้ ฉีดได้ไหม อันตรายไหม? ถึงจะเป็นฟิลเลอร์แท้ แต่ก็ไม่ได้มีการเก็บรักษาอย่างดีเหมือนฟิลเลอร์ที่นำเข้ามาอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องถูกควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมตลอดเวลาจึงจะคงประสิทธิภาพที่ดีของฟิลเลอร์ไว้ได้ แต่ถ้าหิ้วเข้ามาแบบไม่รักษาอุณหภูมิอะไรเลย ฟิลเลอร์นั้นย่อมมีการเสื่อมสภาพแน่นอน ฉีดแล้วสลายเร็ว ฉีดแล้วไม่ได้ผลลัพธ์แบบที่ควรจะเป็น
____ประเด็นที่สอง ถ้าผู้ฉีดไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นหมอกระเป๋า แม้จะหิ้วฟิลเลอร์แท้มาฉีดให้ แต่อันตรายหนักกว่าเดิมแน่นอน ฉีดแบบครูพักลักจำโดยไม่รู้จริง ผิดพลาดแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ ตาบอด หน้าเบี้ยว มีให้เห็นมาแล้วเยอะมากค่ะ
___ - อันตรายที่เกิดจากผู้ฉีดที่ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการรักษาที่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นอย่างมาก จึงต้องฉีดโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยตรงเท่านั้น
___ - เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง
การรักษาด้วยฟิลเลอร์มีขั้นตอนที่ละเอียดมาก ตั้งแต่การประเมินรูปหน้า วิเคราะห์ปัญหา การวางแผนการรักษา การเลือกใช้ชนิดของฟิลเลอร์ที่มีความหลากหลาย ไปจนถึงความรู้เรื่องกายวิภาค ที่ต้องรู้ลึก รู้จริง ถึงตำแหน่งของเส้นเลือด เส้นประสาทบนใบหน้า รวมถึงโครงสร้างของชั้นผิว เพื่อกำหนดตำแหน่งฉีดได้ถูกต้องและแม่นยำ
___
ซึ่งหากเป็นแพทย์ปลอม จะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้น ฉีดผิดตำแหน่ง อาจฉีดโดนเส้นเลือด เส้นประสาท ทำให้เส้นเลือดอุดตัน ตาบอด หน้าเบี้ยว หรือเลือกฟิลเลอร์ผิดประเภท บางทีก็ฉีดตื้น หรือลึกเกินไป ทำให้เป็นก้อน ผิวเป็นคลื่น ที่สำคัญคือ พอไม่มีความรู้จริงก็จะแก้ไขให้ไม่ได้ พลาดแล้วพลาดเลย อันตรายมาก
เช็คชื่อแพทย์ก่อนตัดสินใจเพื่อความชัวร์ ซึ่งสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ผิวหนัง แพทย์เฉพาะทางได้ที่ เวปไซต์ของแพทย์สภาค่ะ
___ - อันตรายที่อาจเกิดจากอาการเฉพาะของตัวคนไข้เอง
*การดูแลตัวเองหลังฉีดผิดวิธี*
แม้จะใช้ฟิลเลอร์แท้ และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่อันตรายก็อาจจะเกิดขึ้นได้ จากการดูแลตัวเองหลังฉีดที่ผิดวิธี เช่น การดูแลทำความสะอาดผิวบริเวณที่ฉีดไม่ดีก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ การสัมผัสที่รุนแรงเกินไปอาจจะทำให้เกิดการอักเสบได้ การโดนแสงแดด และความร้อน อาจจะทำให้จุดฉีดอักเสบ หรือติดเชื้อได้ การกินอาหารเสริมบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด การระคายเคือง และอาการช้ำ แม้กระทั่งการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ ล้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายหลังการฉีด ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดค่ะ
___ - มีอาการแพ้ฟิลเลอร์
ถึงแม้จะเป็นฟิลเลอร์แท้ก็สามารถพบอาการแพ้ฟิลเลอร์ได้ แต่โอกาสการเกิดน้อยมากไม่ถึง 1% อาการแพ้อาจเกิดจากการแพ้ส่วนผสมบางชนิดที่อยู่ในฟิลเลอร์ มีทั้งแพ้แบบรวดเร็ว คือหลังฉีดไม่กี่ชั่วโมงก็มีผื่นคัน หรือบวมแดงขึ้นบริเวณที่ฉีด และแบบฉีดไปนานกว่า 3-6 เดือนถึงจะเริ่มแพ้ก็มี ซึ่งถ้ามีอาการผิดปรกติให้รีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดทันที และทำการรักษาอย่างรวดเร็ว
___
การรักษามีหลายวิธี แพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าจะใช้การรักษาด้วยวิธีใด ซึ่งมีทั้งการรับประทานยา และการฉีดสลายฟิลเลอร์ค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ตรงไหนได้บ้าง
____เราสามารถใช้ฟิลเลอร์ในการแก้ไขจุดบกพร่องได้เกือบทั้งหน้าเลยทีเดียว โดยตำแหน่งที่ยอดนิยมไล่มาตั้งแต่บนสุดของใบหน้ามีดังนี้ค่ะ
ฟิลเลอร์หน้าผาก
____หน้าผากคือตำแหน่งที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่บนใบหน้าที่มักจะมีปัญหายุบตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ฟิลเลอร์หน้าผาก หรือการเติมสารไฮยาลูรอนิค แอซิด เข้าไปบริเวณหน้าผากก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากแคบ หน้าผากยุบ ช่วยเติมเต็มร่องบุ๋ม ริ้วรอยร่องลึก ให้ดูเต็ม ดูสวยขึ้น หรือในบางรายอาจจะแก้ไขรูปหน้าผากให้สวยเพื่อเสริมโหงวเฮ้ง เพิ่มความมั่นใจให้มากขึ้นได้ด้วย
*ฟิลเลอร์หน้าผาก – ผ่าตัดเสริมหน้าผาก – ฉีดไขมันหน้าผาก เลือกแบบไหนดีกว่ากัน*
____ทางเลือกในการเสริมหน้าผากมี 3 วิธียอดนิยม คือ ฟิลเลอร์, ผ่าตัดเสริม และฉีดไขมันตัวเองเข้าไป ซึ่งทั้ง 3 วิธีมีทั้งข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป จึงขอสรุปข้อดี-ข้อเสีย ไว้ดังนี้ค่ะ
- ฟิลเลอร์หน้าผาก
ข้อดี : ไม่ต้องพักฟื้น ปรับรูปทรงได้ตามต้องการ ค่อยๆเติมได้ตามความพอใจ ส่วนใหญ่จะอยู่ได้นยานกว่าอายุของฟิลเลอร์ เพราะบริเวณหน้าผากจะใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณมาก ร่างกายจึงสลายฟิลเลอร์ช้ากว่าบริเวณอื่น
ข้อเสีย : ค่อนข้างเจ็บในเคสที่ต้องการเสริมทั้งหน้าผาก เนื่องจากหน้าผากมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่จึงต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณเยอะกว่าส่วนอื่น ค่าใช้จ่ายจึงค่อนข้างสูง มีความเสี่ยงในการจิ้มเข้าเส้นเลือดสูงกว่าบริเวณอื่น และต้องใช้ยาชาในบริมาณค่อนข้างเยอะ จึงอาจจะมีการบวมยาชาได้ 2-3 วัน
- ผ่าตัดเสริมหน้าผาก
ข้อดี : อยู่ได้ถาวร
ข้อเสีย : ใช้เวลาฟื้นตัวนาน ถ้าไม่ชอบก็ไม่สามารถปรับรูปทรงได้ทันที ต้องผ่าตัดแก้ไขใหม่ และอาจมีปัญหากระดูกยุบตัวลงในอนาคตเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ซิลิโคนเคลื่อนตัว อาจจะต้องผ่าตัดใหม่
- ฉีดไขมันหน้าผาก
ข้อดี : เป็นการใช้ไขมันตัวเองฉีดเข้าไป ไม่แพ้ และเข้ากันได้ดีกับร่างกายของเรา
ข้อเสีย : ต้องดูดไขมันในส่วนอื่นของร่างกายเรามาก่อน ขั้นตอนค่อนข้างเยอะ จะมีแผลจากจุดที่ดูดไขมันด้วย และอาจจะต้องเติมหลายครั้งจนกว่าจะได้ผลลัพธ์น่าพอใจ อีกทั้งยังเสี่ยงกับการใช้ยาชาในปริมาณสูง และไม่สามารถปรับรูปทรงเฉพาะจุดได้ ต้องฉีดให้นูนทั่วทั้งหน้าผาก ทำให้ใบหน้าของผู้ที่ฉีดไขมันหน้าผากมาจะมีรูปแบบเดียวกันหมด
*ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญสูง*
____เนื่องจากบริเวณหน้าผากเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และมีความเด่นชัดมากบนใบหน้า ประกอบกับตำแหน่งนี้มีชั้นผิวหนังที่ค่อนข้างบาง และมีเส้นเลือดสำคัญที่เชื่อมต่อไปยังบริเวณดวงตา การเลือกใช้ชนิดเนื้อฟิลเลอร์ ตำแหน่งที่ฉีด และเทคนิคการฉีดจึงสำคัญมาก ฉีดโดนเส้นเลือดอุดตันเสี่ยงกล้ามเนื้อตาย หรือตาบอด ฉีดตื้นเกินไปจะทำให้เกิดปัญหามากมาย ทั้งเป็นก้อน เป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน จับแล้วนิ่มๆ เหมือนหัวปลาทอง
____เพราะฉะนั้นจึงต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญสูงเท่านั้น ฟิลเลอร์จะต้องลงไปตรงตำแหน่งที่ถูกต้องตรงบริเวณชั้นบนแนบกับกระดูกหน้าผาก เพื่อช่วยหนุนให้หน้าผากอิ่ม โหนกนูนสวย และเกิดผลลัพธ์ที่ดี
*สามารถแก้ไขฟิลเลอร์หน้าผากที่ฉีดมาเป็นก้อน หรือเป็นคลื่นได้ไหม ?*
____หากต้องการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแก้ไขฟิลเลอร์หน้าผากที่ฉีดมาผิดพลาด แพทย์จะทำการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าปัญหาเกิดจากสาเหตุใด หากเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์แท้ แต่ฉีดมาแบบผิดชั้น ผิดตำแหน่ง ก็สามารถแก้ไขได้โดยการฉีดสารสลายฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นเอนไซม์ Hyaluronidase สำหรับสลายสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid โดยเฉพาะ ซึ่งฟิลเลอร์จะค่อยๆสลายไปจนหมด
____แต่ถ้าเป็นปัญหาที่เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอมมา กรณีนี้จะไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ต้องใช้วิธีการผ่าตัดขูดออกเท่านั้น
*อาการที่มักจะเกิดขึ้นได้หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก*
____หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะมีอาการบวมเป็นปรกติ ซึ่งคุณหมอจะมีการจ่ายยาแก้ปวดอลดบวมให้ อาการบวมนี้จะอยู่ไม่เกิน 2 สัปดาห์
____การดูแลหลังฉีดคือ ไม่นอนนอนทับ นอนคว่ำหน้า หรือตะแคงทับตรงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ดื่มน้ำมากๆ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนฉีดถึงหลังจากฉีด 24 ชั่วโมง ไม่ขัดใบหน้า ถูหน้า หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด ทั้งอบไอน้ำ ซาวน่า หรือนั่งหน้าเตาร้อนๆ กินปิ้งย่าง หรือชาบู และงดเลเซอร์บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน 1 เดือนค่ะ
ฟิลเลอร์ขมับ
____ขมับเป็นตำแหน่งส่วนต่อเนื่องกับบริเวณหน้าผาก ซึ่งเมื่อส่วนขมับนี้ยุบบุ๋มลงไป จะทำให้โหนกคิ้ว โหนกแก้มดูสูงขึ้น ใบหน้าจะดูดุ ดูแข็ง ดูมีอายุ ดูโทรม ไม่สดใส
*แค่เติมขมับ ก็ปรับรูปหน้าให้สวยขึ้นได้*
____‘ขมับ’ จุดสำคัญเล็กๆจุดนี้ที่หลายคนมองข้าม แต่เมื่อถูกเติมเต็มขึ้นก็จะสามารถเปลี่ยนใบหน้าทั้งหน้าให้ดูสวยได้รูปขึ้นมาเลยทีเดียว
____ฟิลเลอร์ขมับ คือการเติมสารไฮยาลูรอนิค แอซิด เข้าไปเติมเต็มส่วนขมับนี้ให้ดูเต็มมากขึ้น ช่วยให้ส่วนขมับรับกับโครงหน้าที่เชื่อมโยงกับทั้งโหนกแก้มทั้งหน้าผาก ลดความดุ ความกระดูกของใบหน้า ทำให้ดูเด็กลง และดูอ่อนหวานละมุนละไมมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้ปรับเสริมโหงวเฮ้งเสริมรับความโชคดีตามความเชื่อ เพื่อเสริมความมั่นใจได้อีกด้วย
*ฟิลเลอร์ขมับ อันตรายไหม ?*
____บริเวณขมับถือเป็นจุดรวมเส้นเลือด และเส้นประสาทสำคัญจุดหนึ่งบนใบหน้า หากผู้ฉีดไม่ใช่แพทย์ หรือไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญ การฉีดฟิลเลอร์จุดนี้ถือว่าเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้มาก เพราะถ้าฉีดผิดตำแหน่ง ไม่แม่นกายวิภาค อาจจะเกิดการอุดตันเส้นเลือด โดนเส้นประสาท ทำให้มีปัญหากับการมองเห็น และกล้ามเนื้อบริเวณตาได้
____แต่ถ้าใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน และฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้องโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญ ก็สวยได้อย่างสบายใจ มีความปลอดภัย 100% ค่ะ
ฟิลเลอร์ใต้ตา
____ปัญหาใต้ตาคล้ำ ร่องใต้ตา รวมถึงริ้วรอยใต้ตา เกิดได้กับทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป หรือในบางคนอาจจะเป็นตั้งแต่เกิด ซึ่งปัญหานี้จะทำให้ดูมีอายุ ดูโทรม และดูอ่อนล้าสุขภาพไม่ดี ทำให้ขาดความมั่นใจ บางคนเป็นเยอะมากจนไม่ไหวจะแต่งหน้าปกปิด ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์ค่ะ
*ดูสดใส อ่อนกว่าวัยขึ้น ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา*
____การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการเติมสารไฮยาลูรอนิค แอซิด เข้าบริเวณใต้ตา โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยดูดซับน้ำบริเวณรอบๆ และอุ้มน้ำไว้ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอิ่มฟูให้ผิวที่บริเวณนั้น สามารถแก้ไขปัญหาที่ทำให้คุณดูโทรม ดูเหนื่อยล้า และดูแก่กว่าวัยได้จากหลากหลายสาเหตุ
- ใต้ตาคล้ำ
ฟิลเลอร์จะช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ทั้งที่มีสาเหตุมาจากการพักผ่อนน้อย ภูมิแพ้ หรือกรรมพันธุ์ ให้ดูสดใส มีชีวิตชีวาขึ้น
___ - ใต้ตาบุ๋มลงไป
กระดูกเบ้าตาที่ยุบตัวจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ดูอิ่มฟูขึ้น
___ - ริ้วรอยใต้ตา
ทั้งริ้วรอยตื้น ริ้วรอยร่องลึก ก็สามารถใช้ฟิลเลอร์ช่วยให้ดูเรียบเนียน และเต่งตึงขึ้นได้
___ - ถุงใต้ตา
ฟิลเลอร์จะช่วยให้ปัญหาถุงใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้นได้ แต่ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของถุงใต้ตา ถ้ารุนแรงมากอาจจะต้องแก้ไขด้วยวิธีผ่าตัด
___
*ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ?*
____อีกปัญหาหนึ่งที่หลายคนกังวลคือเรื่องฉีดฟิลเลอร์ใกล้ตาแล้วตาจะบอดไหม? ใต้ตาเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่หลายคนกลัวที่จะฉีดอะไรลงไปตรงจุดนี้ เนื่องจากใกล้กับอวัยวะสำคัญอย่างดวงตา
____แม้ในเรื่องของโครงสร้างผิว และลักษณะทางกายวิภาคของบริเวณนี้จะมีความซับซ้อน แต่ถ้าฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง และใช้ฟิลเลอร์แท้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะมีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวไปได้หมดตามระยะเวลา โอกาสเกิดอันตรายน้อยมากหรือแทบจะไม่มีค่ะ
____แพทย์จะเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สาเหตุ และประเมินปัญหาให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้แก้ไขอย่างตรงจุด ซึ่งในแต่ละเคสจะต้องมีการเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ และเทคนิคการฉีดที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
___
*ข้อดี-ข้อเสีย ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา*
____ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ตา เราควรรู้ก่อนว่ามีข้อดี และข้อเสียอะไรบ้าง เพื่อช่วยในการตัดสินใจค่ะ
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
เห็นผลทันทีหลังฉีดเสร็จ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถปรับเพิ่มเติม หรือแก้ไขได้ทันที และเมื่อทำร่วมกับหัตถการอื่นๆเช่น เลเซอร์ปรับสภาพผิว เลเซอร์ยกกระชับ จะยิ่งทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ฟิลเลอร์มีราคาสูง และผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ถาวร คือจะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือนเท่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ การดูแลตัวเองหลังฉีด
ฟิลเลอร์แก้มตอบ
____แก้มที่สวยคือแก้มที่เอิบอิ่มพอดีๆ รับกับโหนกแก้ม และแนวกราม ใบหน้าที่มีแก้มตอบลง เกิดจากกระดูก หรือสูญสียไขมันบริเวณแก้ม จนยุบตัวเป็นแอ่งบุ๋มลงไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าดูผอมโทรม ดูแก่กว่าวัย และดูไม่สดใส โหงวเฮ้งไม่ดี ซึ่งสาเหตุของแก้มตอบเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย
*แก้มตอบเกิดจากอะไรบ้าง?*
- แก้มตอบจากกรรมพันธุ์
เป็นลักษณะการทอดทางพันธุกรรมของโครงสร้างกระดูกใบหน้า และชั้นไขมันใต้ผิว ซึ่งอาจจะมีกระดูกส่วนแก้มยุบลงไปมากกว่าปรกติ หรือ กระดูกโหนกแก้มสูงกว่าปรกติ ก็ทำให้แก้มดูตอบได้เช่นกัน
- แก้มตอบจากการลดน้ำหนัก
หลายคนมีปัญหาแก้มตอบลงไปจากการลดน้ำหนังลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ไขมันบริเวณแก้มละใบหน้าลดลงไปด้วย จึงทำให้ยิ่งดูซูบ และโทรมขึ้นหลังลดน้ำหนัก
- แก้มตอบจากรูปฟันที่เปลี่ยนไป
โครงหน้าจะเปลี่ยนไปหลังการจัดฟัน หรือถอนฟันออกเพื่อจัดฟัน เมื่อฟันเปลี่ยนรูป เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ อาจจะทำให้แก้มตอบลงในบางราย
- แก้มตอบจากอายุมากขึ้น
การสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน รวมถึงไขมันบนใบหน้าจะเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ผิวที่เคยแน่นเด้งจะเริ่มมีความหย่อนคล้อย ทำให้เกิดเป็นร่องแก้มที่บุ๋มลงไปตามแนวกระดูกใต้โหนกแก้ม
- แก้มตอบจากการฉีดโบท็อกซ์ผิดพลาด
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดขนาดกรามกำลังเป็นที่นิยม แต่หากแพทย์ที่ฉีดไม่มีความชำนาญมากพอ ใช้ปริมาณยาเยอะเกินไป ก็อาจจะทำให้แก้มตอบลงไปด้วย
*ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบให้สวยเอิบอิ่มแบบไม่ต้องพักฟื้น*
____การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจำเป็นต้องฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญ และใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น โดยแพทย์จะทำการวิเคราะห์ปัญหา ประเมินใบหน้าของคนไข้เพื่อเลือกรุ่น และยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาที่สุด พร้อมทั้งต้องคำนวณปริมาณซีซีที่จะฉีกเข้าไปให้ดูสวยเป็นธรรมชาติอีกด้วย
____ฟิลเลอร์แก้มตอบ จะเป็นการเติมสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิค แอซิด เข้าไปช่วยหนุนเนื้อแก้ม เสมือนเติมชั้นไขมันที่หายไป ให้แก้มอิ่มสวย ดูอ่อนเยาว์ สดใสขึ้น รับกับกระดูกโหนกแก้ม และแนวกราม
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
____ร่องแก้มลึกเป็นสัญลักษณ์ของความแก่ที่เด่นชัดมากบนใบหน้า เส้นร่องลึกที่ลากมาจากปีกจมูกไปที่มุมปากนี้เกิดขึ้นมาจากหลายสาเหตุ และสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
*เทคนิคหลากหลายในการแก้ไขร่องแก้มด้วยฟิลเลอร์*
____ร่องแก้มเป็นอีกบริเวณหนึ่งที่ที่เมื่อถูกแก้ไขเติมเต็มขึ้นมาแล้ว จะดูลดอายุ อ่อนเยาว์ และสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การแก้ไขปัญหานี้ด้วยฟิลเลอร์ให้ดูเป็นธรรมชาติ ดูสวยแบบไม่หลอกตานั้นจำเป็นต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น เนื่องจากในแต่ละเคสอาจจะต้องใช้เทคนิคการฉีดที่ต่างกันขึ้นอยู่กับสาเหตุการเกิดร่องแก้มของเคสนั้นๆว่ามาจากสาเหตุใด
____แพทย์จะเป็นผู้ประเมินใบหน้า และวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าร่องแก้มในแต่ละเคสนั้น เกิดมาจากสาเหตุใด ในบางเคสอาจจะไม่ใช่การเติมฟิลเลอร์ไปตรงๆที่ร่องแก้ม เช่น หากร่องแก้มนั้นมีปัญหาหน้าแก้มยุบและร่องใต้ตาร่วมด้วย แพทย์ต้องประเมินก่อนว่าปัญหาร่องแก้มนั้นสืบเนื่องมาจากการยุบตัวลงของกระดูกหน้าแก้ม (Maxilla) หรือไม่ ถ้ามีความเกี่ยวเนื่องอาจจะต้องพิจารณาแก้ไขบริเวณหน้าแก้มก่อน เพื่อทำการยกพยุงความบุ๋ม หรือความหย่อนคล้อยส่วนแก้มขึ้นมา ทำให้หน้าดูยก และร่องแก้มลดลงโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องฉีดฟิลเลอร์ตรงร่องแก้มโดยตรงเลยก็ได้
____ดังนั้นการเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงรวมถึงเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้นั้นจึงมีความสำคัญมาก เพราะหากแพทย์ไม่เชี่ยวชาญ และไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจจะแก้ปัญหาผิด ทำให้ปัญหาร่องแก้มดูหนักขึ้น และดูแย่กว่าเดิมก็เป็นได้
ฉีดฟิลเลอร์ปาก
____การฉีดฟิลเลอร์ปากกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มสาวๆหลากหลายวัยในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากเป็นร่อง หรือผิวริมฝีปากย่นจากอายุที่มากขึ้นแล้ว ยังสามารถฉีดเพื่อปั้นปากให้ได้รูปเข้ากับใบหน้าตามต้องการหรือตามกระแสแฟชั่นอีกด้วย ซึ่งสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการออกแบบรูปทรงปากที่เหมาะสมกับเราได้ค่ะ
*รูปปากสวยเป็นอย่างไร?*
____แม้ความนิยมในการเลือกรูปทรงของปากในการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นไปตามเทรนด์ในขณะนั้น แต่เราก็สามารถปรับเทรนด์นั้นๆให้เข้ากับใบหน้าโดยรวมของเรา โดยอิงกับหลักการของ Golden Ratio เพื่อให้ได้รูปปากที่ได้สัดส่วนที่สวยงามเหมาะกับเรามากที่สุดค่ะ ซึ่งแพทย์และคนไข้ควรวางแผนออกแบบร่วมกันเพื่อความพึงพอใจ และปลอดภัยที่สุด โดยปากที่สวยควรมีลักษณะดังนี้ค่ะ
- เนื้อปากเต็ม
อวบอิ่ม ชุ่มชื้น ดูมีสุขภาพดี
__ - ขอบปากคมสวยชัดเจน
ขอบโดยรอบริมฝีปากคมชัด บริเวณ Cupid Bow หรือรูปตัว M ตรงขอบริมฝีปากบนได้รูปสวยชัดเจน
__ - สัดส่วนสวยงาม
โดยรูปปากที่เหมาะกับรูปหน้าของสาวไทย ริมฝีปากบนควรจะเล็กกว่าริมฝีปากล่างเล็กน้อย ในอัตราส่วน 1 : 1.6 หรือมีรูปทรงปากกระจับ แต่หากต้องการปากแบบสาวสายฝอ หรือแบบฝรั่งตามเทรนด์ อัตราส่วนจะปรับเป็น 1 : 1 ซึ่งแพทย์จะประเมินรูปหน้าคนไข้ร่วมด้วย เพื่อปรับสัดส่วนให้เข้ากับรูปหน้ามากที่สุด
__ - ผิวรอบๆ ริมฝีปากเรียบเนียน
ริมฝีปากสวย แต่ผิวรอบๆนั้นยังเป็นร่องๆ หรือมีริ้วรอยเหี่ยวย่นก็จะดูปากลอย หลอกขึ้นมา ไม่เป็นธรรมชาติ ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรดูแลผิว และพื้นที่บริเวณรอบๆปาก และใบหน้าไปพร้อมๆกันด้วย
__ - มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
เหมือนยิ้มนิดๆ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ มีเสน่ห์ขึ้น
__
*เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปาก*
____การฉีดฟิลเลอร์ปากเปรียบได้กับการสร้างงานศิลปะ ซึ่งแพทย์จะต้องมีประสบการณ์ และความชำนาญสูงจึงจะสามารถปั้นรูปปากออกมาได้ตามต้องการ และปลอดภัย
____การฉีดฟิลเลอร์ปากให้ได้รูปทรงที่สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ แพทย์ต้องเลือกรุ่น และยี่ห้อของฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับปัญหาในแต่ละเคส ฉีดฟิลเลอร์ถูกตำแหน่ง วางเข็มลงไปบนชั้นผิวได้ตรงจุด ต้องไม่ลึก หรือไม่ตื้นเกินไป เพื่อให้ฟิลเลอร์ดูกลืนไปกับเนื้อริมฝีปาก หรือจะใช้เทคนิคเข็มปลายทู่ ที่เป็นเทคนิคเฉพาะ ช่วยให้รอยช้ำลดน้อยลง และดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
____อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ริมฝีปากอาจเกิดขึ้นได้ในแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์มากพอ ทำให้ฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน ไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการ ร้ายไปกว่านั้นคือฉีดโดนเส้นเลือด เนื้อจากริมฝีปากเป็นจุดรวมของเส้นเลือด และเส้นประสาทจำนวนมาก ถ้าแพทย์ไม่แม่นพออาจเกิดการผิดพลาดได้ง่าย
*ฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บไหม*
____ฉีดฟิลเลอร์ปากจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่เจ็บกว่าตำแหน่งอื่นๆบนใบหน้า เนื่องจากว่ามีเส้นประสาทรับความรู้สึกตรงบริเวณปากมากกว่าจุดอื่น แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะแพทย์ก็จะมีวิธีระงับความเจ็บปวดในจุดนี้เป็นพิเศษกว่าจุดอื่นด้วยเช่นกัน
____แพทย์จะเลือกวิธีระงับความรู้สึกเจ็บที่เหมาะสมกับเทคนิคการฉีดที่จะใช้ ซึ่งอาจจะเป็นวิธีทายาชา ประคบความเย็นจัด หรืออาจจะใช้วิธีฉีดยาชาเข้าไปก่อนก็ได้ คนไข้จะรู้สึกสบายมากขึ้นตอนเดินเนื้อฟิลเลอร์เข้าไปในริมฝีปากค่ะ
*หลังฉีดจะรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในริมฝีปากตลอดเวลาไหม ?*
____อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตก็คือ เมื่อมีฟิลเลอร์เข้าไปอยู่ในริมฝีปากแล้วจะรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรอยู่ในริมฝีปากไหม? จะทำให้รู้สึกรำคาญไหม?
____หลังฉีดฟิลเลอร์ปากในระยะแรกเลยจะรู้สึกชาปากจากยาชาก่อน จากนั้นจะมีอาการตึง หรือปวดตื้อๆ ซึ่งจะหายไปเองภายใน 3-4 ชั่วโมง และจะมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปภายใน 4-5 วัน ทานยาตามแพทย์สั่งจะหายบวมเร็วขึ้น
____ช่วงแรกๆหลังฉีดฟิลเลอร์อาจจะรู้สึกเหมือนมีก้อนๆอยู่ในริมฝีปาก เนื่องจากฟิลเลอร์ยังไม่รวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับเนื้อริมฝีปาก ช่วงนี้อาจจะต้องใช้เวลาสักพัก ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ก็จะรู้สึกกลับมาเป็นปรกติค่ะ
____ในกรณีที่เกิดอาการบวมไม่หายไปภายใน 1 สัปดาห์ ริมฝีปากมีอาการเขียวม่วง บวมช้ำผิดปรกติ หรือความรู้สึกว่ามีก้อนฟิลเลอร์อยู่ยังคงไม่หายไปภายใน 1 เดือน ให้รีบกลับไปพบแพทย์เพื่อรีบทำการแก้ไขโดยด่วนค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์คาง
____คาง เป็นส่วนล่างสุดของใบหน้าที่เป็นหนึ่งสัดส่วนสำคัญของการสร้างสมดุลของโครงหน้า การฉีดฟิลเลอร์คาง สามารถแก้ปัญหาคางไม่ได้สัดส่วนได้ทั้ง คางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางเบี้ยว คางยื่น หรือคางไม่เท่ากัน ทำให้ใบหน้าดูเรียวยาวได้สัดส่วนขึ้นได้ โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด
*ฟิลเลอร์คาง กับการผ่าตัดเสริมซิลิโคน ต่างกันอย่างไร ?*
____หลายคนยังมีความลังเลว่าจะเสริมคางโดยใช้วิธีฉีดฟิลเลอร์ หรือ ผ่าตัดเสริมซิลิโคนไปเลยดีกว่ากัน จริงๆแล้วทั้ง 2 วิธีนี้ มีทั้งข้อดี และข้อเสียแตกต่างกัน จะพิจารณาเลือกวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และต้องการของคนไข้ร่วมด้วยค่ะ ซึ่งก่อนตัดสินใจสามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินปัญหา และวิธีแก้ไขได้ค่ะ
ข้อดีของฟิลเลอร์คาง
____เจ็บน้อย สวยเร็ว เห็นผลทันทีหลังจากฉีด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่พอใจสามารถแก้ไขได้ เติมเพิ่มหรือฉีดสลายออกได้ทันที
ข้อเสียของฟิลเลอร์คาง
____ไม่ได้อยู่ถาวร และจะสลายไปหมดภายใน 1-2 ปี ต้องมาฉีดใหม่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเรื่อยๆ และไม่เหมาะกับคนที่คางสั้นมากๆ เพราะฟิลเลอร์ไม่สามารถเติมเยอะมากๆได้จะทำให้ทรงไม่สวย ดูไม่เป็นธรรมชาติ และต้องเลือกแพทย์ที่มีฝีมือ และความชำนาญมากๆ เนื่องจากต้องใช้เทคนิคการฉีดลึกถึงปริเวณเยื่อหุ้มกระดูก รูปคางจึงจะได้รูปสวยเหมือนคางจริงๆ หากฉีดตื้นเกินไป ฉีดไปบนชั้นกล้ามเนื้อ ก็อาจทำให้คางดูเป็นก้อน อาจไหลลงตามกาลเวลา และดูไม่เป็นธรรมชาติ
ข้อดีของการเสริมซิลิโคนคาง
____อยู่ได้ถาวร เจ็บทีเดียวอยู่ได้ตลอด
ข้อเสียของฟิลเลอร์คาง
____เจ็บกว่าฉีดฟิลเลอร์มาก ใช้ระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่า หากไม่พอใจต้องการแก้ไขก็ต้องผ่าตัดใหม่ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายที่สูง และความผิดพลาดจากศัลแพทย์ที่ออกแบบรูปคางไม่สมส่วน อาจจะต้องทำให้แก้หลายครั้ง
*ฉีดฟิลเลอร์คางไปแล้ว อยากผ่าตัดเสริมซิลิโคนได้ไหม?*
____ฟิลเลอร์แท้จะมีการสลายตัวไปตามระยะเวลา ซึ่งจะสลายไปหมด 100% ในระยะเวลา 1-2 ปีโดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่น และยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้ด้วย
____ซึ่งหากคนไข้ต้องการเปลี่ยนใจไปทำศัลยกรรมเสริมซิลิโคนที่คางแทน ก็สามารถทำได้เมื่อฟิลเลอร์สลายไปหมด หรือถ้ายังสลายไปไม่หมด ก็สามารถใช้วิธีฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ โดยเมื่อสลายหมดแล้วรอระยะเวลาให้เนื้อเยื่อภายในผิวได้มีการพักตัวประมาณ 1 เดือน ก็สามารถผ่าตัดเสริมซิลิโคนได้ค่ะ
*ข้อควรระวัง หลังจากฉีดฟิลเลอร์คาง*
____หลังฉีดฟิลเลอร์คางไปแล้ว ในระยะเวลา 7 วันแรก อย่างเผลอเท้าคางเด็ดขาด เพราะฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ อาจจะทำให้ฟิลเลอร์ผิดรูป หรือเกิดการอักเสบบวมช้ำขึ้นได้
____นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้า หรือการนอนที่กดทับบริเวณคางไปก่อน รวมถึงหลีกเลี่ยงการนวดหน้า ทรีทเม้นท์หน้า หรือนวดหน้า หลีกเลี่ยงการโดนความร้อนบริเวณใบหน้า ทั้งซาวน่า สตรีม ยืนหน้าเตา เป็นเวลา 1 เดือนค่ะ
วิธีการเลือกฟิลเลอร์แท้
____การฉีดฟิลเลอร์จะปลอดภัยหรือไม่นั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับการเลือกแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญแล้ว ยังต้องใส่ใจรายละเอียดของฟิลเลอร์ที่จะฉีดเข้าไปในใบหน้าของเราด้วย ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ หรือเป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพหรือไม่ ซึ่งสามารถแยกฟิลเลอร์หลักๆที่อาจจะพบเจอได้ดังนี้ค่ะ
- ฟิลเลอร์แท้ ที่มีการนำเข้าอย่างถูกต้อง
เป็นฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA ที่มีความปลอดภัย และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวในตอนนี้ที่สามารถฉีดได้อย่างปลอดภัย
__ - ฟิลเลอร์ปลอม
เป็นฟิลเลอร์ที่ราคาถูกจนน่าสงสัย แถมยังปลอมแปลงแพคเกจจิ้งได้เหมือนของแท้จนแยกไม่ออก ส่วนใหญ่มักฉีดโดยผู้ต้องสงสัยที่ไม่ใช่แพทย์ และไม่น่าไว้วางใจ ฟิลเลอร์ปลอมจะเป็นสารแปลกปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือพลาสติกเหลว ที่เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ร่างกายจะเกิดการต่อต้าน อยู่คงทนไม่สลายไป พร้อมที่จะไหลย้อย หรือทำให้เนื้อเยื่อภายในติดเชื้ออักเสบอยู่ตลอดเวลา
__ - ฟิลเลอร์หิ้ว แม้จะแท้ แต่นำเข้าผิดกฎหมาย
เป็นฟิลเลอร์อีกประเภทที่ควรระวังในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ชนิดนี้แม้จะเป็นฟิลเลอร์แท้จากผู้ผลิต แต่มีวิธีการนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย สังเกตง่ายๆคือไม่มี อย. และไม่มีฉลากไทยกำกับ ฟิลเลอร์ที่นำเข้าอย่างถูกต้องนั้นจะมีวิธีการขนส่งจากประเทศผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ที่จะต้องมีการควบคุมอุณหภูมิอย่างเหมาะสมเพื่อคงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไว้ได้ 100% ซึ่งถ้าใช้วิธีการใส่กระเป๋าหิ้วข้ามประเทศมาแบบไม่มีการควบคุมอุณหภูมิ เนื้อฟิลเลอร์จะเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้ฉีดแล้วได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี หรืออาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้
__
*ฉีดฟิลเลอร์ปลอมเข้าไป จะมีอาการอย่างไร*
____ร่างกายของเรามีกระบวนการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมอันน่าทึ่ง หากมีสารต้องสงสัยเข้าสู่ร่างกายก็จะแสดงอาการต่างๆเพื่อแสดงถึงการต่อต้าน ซึ่งการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมนี้อาจจะเกิดขึ้นช้าเร็วไม่เท่ากันในแต่ละคน และวิธีเอาฟิลเลอร์ปลอมออกคือต้องผ่าตัดออก หรือขูดออกเท่านั้น เพราะไม่สามารถฉีดสลายได้เหมือนฟิลเลอร์แท้ หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด่วนค่ะ
__ - ปวด บวม แดง ร้อน
อันตรายมาก ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมจนเกิดอาการติดเชื้อและการอักเสบ
__ - ไม่ยอมสลายไป
ฟิลเลอร์แท้ที่เป็นสารไฮยาลูรอนิค แอซิด จะสามารถสลายไปเองได้หมด 100% ตามระยะเวลาของเนื้อฟิลเลอร์ชนิดนั้นๆ ซึ่งจะสามารถอยู่ได้ประมาณ 6-20 เดือน แต่หากฟิลเลอร์บนใบหน้าของคุณไม่ยอมสลายไปแม้จะผ่านเวลามานานหลายปี ก็แน่ใจได้เลยว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอมแน่นอน และฟิลเลอร์ปลอมชนิดที่อยู่คงทนจำพวกนี้มักไม่ได้อยู่คงรูปสวยงามแบบเดิม แต่จะจับเป็นก้อนหลอมรวมไปกับเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ และกระดูก ทำให้ใบหน้าเบี้ยว ผิดรูปตามมา
__ - ไหลย้อยไปรวมกัน
เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมเป็นสารที่ไม่สมควรเข้าไปอยู่ในร่างกาย เมื่อโดนความร้อนจะไม่สลายไปแต่จะไหลย้อยมากองรวมกันแทน ลักษณะจะเป็นก้อนนิ่มบวมผิดรูปบนใบหน้า เสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง
__
*เช็คให้ชัวร์ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้*
____มีหลายวิธีที่จะตรวจสอบว่าฟิลเลอร์ที่กำลังจะฉีดเข้าไปในใบหน้าของคุณเป็นของแท้หรือไม่ แต่หากจะดูแค่ภายนอก ต้องขอบอกว่าค่อนข้างดูยากมาก เพราะปัจจุบันปลอมแพคเกจจิ้งได้เหมือนของแท้มาก ทางที่ดีนอกจากจะเช็คผลิตภัณฑ์ว่าแท้หรือไม่แท้ตามลิสต์แล้ว ก็ต้องพิจารณาประกอบกับแพทย์ และคลินิกที่น่าเชื่อถือด้วยค่ะ
__
ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม ?
____คำถามยอดฮิตจากคนไข้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์คือ ตอนฉีดเจ็บไหม? หลังฉีดเจ็บไหม? จะบวมเยอะไหม? ซึ่งความจริงแล้วฉีดฟิลเลอร์แทบจะไม่มีความรู้สึกเจ็บเลยค่ะ
____ก่อนฉีดฟิลเลอร์แพทย์จะมีเทคนิคป้องกันความเจ็บไว้หลายชั้นเลยทีเดียว ตั้งแต่ขั้นตอนการทายาชา หรือใช้ความเย็นจัด ช่วยทำให้ผิวบริเวณที่จะแทงเข็มฉีดฟิลเลอร์ไม่รู้สึกเจ็บ อีกทั้งในตัวผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์เองก็ยังมีส่วนผสมของยาชาอยู่ด้วย ทำให้ระหว่างการฉีดคนไข้แทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลย
____ส่วนหลังฉีดหลังฉีดฟิลเลอร์ อาจจะรู้สึกตึงๆเล็กน้อยหลังยาชาหมดฤทธิ์ ในรายที่ผิวบางอาจจะมีรอยแดงจากเข็มตรงจุดที่ฉีด และมีอาการบวมบ้างหลังฉีด ซึ่งเป็นอาการปรกติ และจะหายไปเองภายใน 3-4 วันค่ะ
____
ฟิลเลอร์ที่ฉีดไปจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ ?
____การสลายตัวไปได้ของฟิลเลอร์แท้ กลายเป็นทั้งข้อดี และข้อเสียในตัวของมันเอง ข้อดีคือสลายไปได้หมด ปลอดภัย ไม่มีสารใดๆตกค้างในร่างกาย ข้อเสียก็คือ พอสลายไปก็ต้องฉีดเพิ่ม ฉีดเติมกันบ่อยๆ
____ฟิลเลอร์แท้ที่เป็นสารไฮยาลูรอนิค แอซิด จะสามารถสลายไปเองได้หมด 100% ตามระยะเวลาของเนื้อฟิลเลอร์ชนิดนั้นๆ ซึ่งในแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อก็จะมีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิค แอซิด ในปริมาณแตกต่างกัน เทคโนโลยีการผลิตแตกต่างกันไป ทั้งเนื้อสัมผัสอ่อน-แข็งหลากหลายรุ่น และเทคนิคการฉีดของแพทย์ รวมถึงการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมหลังฉีด ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการคงอยู่ของฟิลเลอร์
____แต่โดยมาตรฐานของฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรือ อย.ไทย ฟิลเลอร์ที่เป็นสารในกลุ่มไฮยาลูรอนิค แอซิดนั้น จะสามารถคงอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน แล้วจะค่อยๆสลายไปจนหมด____
*ดูแลตัวอย่างอย่างไรไม่ให้ฟิลเลอร์สลายไปก่อนเวลาอันควร*
____เพื่อให้ฟิลเลอร์ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่สลายตัวไปก่อนระยะเวลาอันควร ก็ควรที่จะปฏิบัติความคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งแพทย์จะแนะนำข้อควรปฏิบัติทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้คนไข้เข้าใจและดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ที่สำคัญที่ควรทำอยู่เสมอคือ หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในที่ที่ร้อนจัด และดื่มน้ำให้มากเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่และวัน ฟิลเลอร์จะอุ้มน้ำอิ่มฟูขึ้น และ อยู่ได้นานขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?
____การฉีดฟิลเลอร์กับคลินิกที่เชื่อถือได้ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญใช้เวลาไม่มาก และไม่มีขั้นตอนไม่ยุ่งยากซับซ้อน โดยจะมีขั้นตอนดังนี้ค่ะ
- แพทย์วิเคราะห์ใบหน้า เพื่อประเมินปัญหา และวางแผนการรักษา
ขั้นตอนนี้จะเป็นการฟังปัญหาจากคนไข้ ว่ามีความกังวลใจในเรื่องใด ร่วมกับการวิเคราะห์ใบหน้า และประเมินปัญหาจากแพทย์ผู้ทำการรักษา จากนั้นแพทย์จะวางแผนการรักษา โดยอธิบายวิธีที่เลือกใช้ แนะนำชนิดและยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหา พร้อมประมาณการปริมาณฟิลเลอร์ที่จะฉีด รวมถึงมีการถ่ายภาพใบหน้าก่อนฉีด เพื่อเปรียบเทียบผลการรักษากับใบหน้าหลังฉีดด้วย
__ - ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด
เช็ดทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ อาจจะทำความสะอาดทั้งใบหน้า หรือเฉพาะบริเวณจุดที่จะฉีดก็ได้
__ - ทายาชา หรือประคบด้วยความเย็นจัดเพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นเวลาฉีดฟิลเลอร์
แม้ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์จะไม่เจ็บมาก แต่ก็เป็นการดีที่คนไข้จะรู้สึกสบาย และผ่อนคลายที่สุดระหว่างฉีด ขั้นตอนที่จะช่วยระงับความรู้สึกเจ็บนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าจะใช้วิธีใด อาจจะพิจารณาจากเทคนิคที่ใช้ ฉีดตื้น หรือลึกแค่ไหน ใช้เข็มแบบไหน ซึ่งอาจใช้วิธีการ ทายาชา หรือใช้ความเย็นจัดประคบบริเวณจุดที่จะฉีดก็ได้
__ - ฉีดฟิลเลอร์
เพื่อเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นให้กับคนไข้ แพทย์ผู้ฉีดจะนำฟิลเลอร์ที่จะทำการฉีดให้มาให้คนไข้เห็น และตรวจสอบอย่างชัดเจนว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ที่มีการรับรองจาก อย. และมีฉลากไทยครบถ้วน จากนั้นแพทย์จะแกะกล่องฟิลเลอร์และฉีดตามจุดที่ได้วางแผนการรักษาร่วมกับคนไข้ไว้ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน และคนไข้สามารถประเมินความพอใจร่วมกับคุณหมอได้ตลอดช่วงเวลาการรักษา
__ - จบการรักษา พร้อมให้คำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์
หลังจากฉีดฟิลเลอร์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีการทำความสะอาดใบหน้าอีกครั้ง อาจมีการประคบเย็นเพื่อลดบวมสักพักให้รู้สึกสบายขึ้น จากนั้นแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา
เตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ และดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ?
____เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด การเตรียมตัวที่ดีก่อนฉีด และการดูแลตัวเองให้ถูกต้องหลังฉีดนั้นสำคัญมาก ซึ่งจะขอแนะนำดังนี้ค่ะ
*ก่อนฉีดฟิลเลอร์เตรียมตัวอย่างไร ?*
- หาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ตำแหน่งนั้นๆ ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิก และแพทย์ผู้ที่จะทำการฉีดให้ว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ดูรีวิวต่างๆจนแน่ใจ แล้วจึงโทรนัดหมายก่อนเข้าทำการรักษา
__ - ก่อนวันนัดฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือถ้าจะให้ดีที่สุดควรงดล่วงหน้า 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงจากอาการบวมช้ำง่าย
__ - งดกินยา หรืออาหารเสริมต่างๆ และยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เช่น ยาในกลุ่มแอสไพริน, ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน, วิตามิน และสมุนไพรต่างๆ
__ - งดกิจกรรมออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดก่อนมาฉีด 24 ชั่วโมง
__ - หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่ต้องกินอยู่ประจำ ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนทำการรักษา
*หลังฉีดฟิลเลอร์ดูแลตัวเองอย่างไร?*
- หลังฉีดทันที สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดครั้งละ 5-10 นาที ต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมง เพื่อลดอาการบวมช้ำ
__ - ทานยาแก้ปวด ยาลดบวม ตามแพทย์สั่ง
__ - หลีกเลี่ยงการกด การนวด การสัมผัสบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบหรือฟิลเลอร์เกิดเคลื่อนตัวทำให้ผลลัพธ์การฉีดอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่วางแผนไว้
__ - ควรอยู่ในที่อากาศเย็นๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศร้อนๆ งดกิจกรรมออกกำลังกายทุกชนิด หรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนกับร่างกาย อาทิ ฟิตเนส ซาวน่า อบไอน้ำ ไดร์เป่าผม ปิ้งย่าง ชาบู อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
__ - ไม่ควรแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง งดทำทรีทเม้นท์ผิว 1 สัปดาห์ งดยิงเลเซอร์ทุกชนิด รวมถึงการนวดหน้า เป็นเวลา 1 เดือน
__ - งดการดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ ต่อเนื่องหลังฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
__ - ดื่มน้ำให้มากพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เพื่อคงความอุ้มน้ำ และอิ่มฟูของฟิลเลอร์ไปนานๆ
อาการข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์
____หากฉีดฟิลเลอร์แท้ที่มีการนำเข้าอย่างถูกต้อง ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย และฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ ก็สบายใจได้ว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเป็นอาการข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้ และไม่อันตรายค่ะ
____อาการแพ้ฟิลเลอร์อาจเกิดขึ้นได้ แต่การพบเคสแพ้ฟิลเลอร์แท้ยังมีน้อยมากๆ ซึ่งหากคนไข้เกิดอาการแพ้ขึ้นมาแพทย์ก็สามารถแก้ไขโดยการฉีดสลายให้ได้โดยไม่เกิดอันตรายใดๆ
____หลังจากฉีดฟิลเลอร์ อาจจะมีรอยแดงจากเข็มเกิดขึ้นบ้าง ในบางรายอาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือมีอาการคันตรงจุดที่ฉีด ซึ่งถือเป็นอาการปรกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ ขอให้หลีกเลี่ยงการเกาอย่างรุนแรง ไม่กด หรือนวดบริเวณนั้น อาการต่างๆเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 3 วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นให้รีบกลับไปพบแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อตรวจสอบอาการอย่างละเอียดอีกครั้งค่ะ
*อาการข้างเคียงที่อันตราย*
____อาการข้างเคียงที่อันตราย มักจะเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม ฉีดโดยแพทย์ปลอม หรือแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งถ้าเกิดอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
บวมช้ำมาก หรือเป็นหนอง มีอาการปวดร่วมด้วย แสดงว่ามีการอักเสบติดเชื้อที่เนื้อเยื่อภายใน
- สีผิวตรงบริเวณที่ฉีด หรือบริเวณใกล้เคียงเปลี่ยนไป อาจผิวคล้ำขึ้นเหมือนเลือดคั่ง หรือผิวซีดลงเหมือนขาดเลือด อาการนี้แสดงว่าฟิลเลอร์ไปอุดตันเส้นเลือด
- มีผื่นคัน หรือลมพิษขึ้นมาผิดปรกติ อาจจะเกิดจากการแพ้ฟิลเลอร์ ให้รีบพบแทพย์เพื่อแก้ไขปัญหาทันทีค่ะ
ฉีดสลายฟิลเลอร์คืออะไร ?
____หลายคนอาจจะเคยได้ข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์มาบ้างแล้วว่า สามารถฉีดสลายได้ จริงๆแล้ววิธีการฉีดสลายนี้สามารถฉีดสลายได้เฉพาะเนื้อฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA เท่านั้น แต่ถ้าเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือสารแปลกปลอมอื่นจะไม่สามารถฉีดสลายได้ ดังนั้นถ้าคุณฉีดฟิลเลอร์แท้มา ไม่ต้องกังวลค่ะ สามารถฉีดสลายได้หมดแน่นอน 100%
*ฉีดอะไรเข้าไปสลายฟิลเลอร์*
____สารที่ใช้ฉีดเข้าไปเพื่อสลายฟิลเลอร์นั้น เป็นเอ็นไซม์ที่มีชื่อว่า ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ซึ่งเมื่อฉีดเอนไซม์ชนิดนี้เข้าไปที่ฟิลเลอร์ที่ต้องการสลาย เอนไซม์จะเข้าไปทำหน้าที่ลดการดูดน้ำ ลดการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ ลดการกักเก็บไขมัน พร้อมทั้งทำลายพันธะการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ จากนั้นฟิลเลอร์จะค่อยๆสลายไปจนหมด
*ฟิลเลอร์เป็นก้อน ไม่เรียบ ไม่สวย แก้ไขได้*
____เหตุผลในการฉีดสลายฟิลเลอร์มาจากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดพลาดจากการฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์มากพอ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมีทั้งการคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ผิด จนใช้ฟิลเลอร์เยอะเกินไป ฉีดผิดตำแหน่ง ใช้เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง ฉีดตื้นเกินไป ลึกเกินไป หรือเลือกชนิดของเนื้อฟิลเลอร์ผิด ไม่เหมาะกับตำแหน่งที่ฉีด และไม่เหมาะกับปัญหาของคนไข้
____ซึ่งความผิดพลาดเหล่านี้ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์กับคนไข้ตามมา เช่น ฉีดแล้วแข็งเป็นก้อนขึ้นมา ฉีดแล้วดูลอย หน้าดูปลอมไม่เป็นธรรมชาติ ฉีดแล้วผิวเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด ด้วยวิธีฉีดสลายฟิลเลอร์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
*ฉีดสลายฟิลเลอร์มีอันตรายไหม ?*
____การฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นวิธีการรักษาที่ไม่มีอันตราย แต่ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้จากการคำนวณปริมาณยาผิดพลาด หากใช้ปริมาณเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสที่มากเกินไปก็อาจจะไปย่อยสลายส่วนของคอลลาเจนจริงๆไปด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสบายใจได้เลยว่าแก้ไขปัญหาให้คุณได้แน่นอน
____สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือ การจดจำรายละเอียดของฟิลเลอร์ที่เคยฉีดเข้าไปให้ได้มากที่สุด ฉีดยี่ห้ออะไร รุ่นไหน บริเวณไหน ปริมาณกี่ซีซี ถ้าจะให้ดีถ่ายรูปกล่องฟิลเลอร์ที่คุณฉีดไปเก็บเอาไว้ด้วย ข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์มากๆกับแพทย์เพื่อที่จะวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
*อาการที่อาจจะเกิดขึ้นหลังฉีดสลายฟิลเลอร์*
____หลังฉีดฟิลเลอร์คุณอาจจะมีอาการข้างเคียงดังนี้ค่ะ
- มีอาการบวมแดง
มีรอยเข็มตรงบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย แต่จะหายไปภายใน 1-2 วัน แต่หากมีอาการบวมมาก เจ็บมาก หรือเริ่มมีผื่นแดง ผื่นคัน ควรรีบกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดทันที
__ - แพ้สารสลายฟิลเลอร์ ไฮยาลูโรนิเดส
ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นคือน้อยมากๆ หากมีอาการผิดปรกติหลังฉีด รีบกลับไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาค่ะ
*ฉีดแล้วฟิลเลอร์จะสลายไปเมื่อไหร่ ?*
____หลังจากฉีดสลายฟิลเลอร์ไปแล้ว จะเกิดปฏิกิริยาการสลายฟิลเลอร์ขึ้นทันที และจะออกฤทธิ์ไปเรื่อยๆจนเห็นได้ชัดเจนว่าผิวตรงที่ฉีดสลายเรียบขึ้น หรือยุบลงไปใน 48-72 ชั่วโมง
____และหลังจากฉีดสลายไปแล้วประมาณ 7-10 วัน แพทย์จะนัดเพื่อกลับมาประเมินว่าฟิลเลอร์สลายไปหมดแล้วหรือไม่ ยังมีคลื่น มีก้อนค้างอยู่ตรงไหนอีกบ้าง ซึ่งอาจจะสลายได้หมดภายใน 1 ครั้ง หรือสามารถฉีดสลายซ้ำอีกได้หากยังมีฟิลเลอร์หลงเหลืออยู่ โดยแพทย์จะนัดกลับมาประเมินผลการรักษาทุกๆ 7-10 วัน จนกว่าจะสลายหมด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกิน 3 ครั้ง
*ฉีดสลายฟิลเลอร์เก่าไปแล้ว สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้เลยไหม ?*
____โดยปรกติแล้วตัวยาสลายฟิลเลอร์ หรือเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสจะมีระยะเวลาการทำงานอยู่ในช่วง 7-10 วัน เมื่อฟิลเลอร์เก่าสลายไปหมดแล้วควรพักผิวและเนื้อเยื่อบริเวณนั้นสักระยะหนึ่ง ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินคนไข้ในแต่ละเคสว่าสามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้แล้วหรือยัง ซึ่งโดยปรกติแล้วเวลาเร็วที่สุดที่เหมาะสมที่จะฉีดฟิลเลอร์ครั้งใหม่คือ 15-20 วัน หลังจากฉีดสลายฟิลเลอร์ค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี มีวิธีเลือกอย่างไร ?
____ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี? สำคัญคือเลือกอย่างไรให้ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติที่สุด ปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามเกิดขึ้นมากมาย จนบางที่ก็ทำให้เกิดความสับสน เลือกไม่ถูกว่าจะฉีดที่ไหนดี ก่อนที่จะหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อ เรามาหาข้อมูลกันก่อนสักนิดเพื่อเฟ้นหาคลินิกที่โดนใจที่สุดกันดีกว่าค่ะ
- เลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ
ตรวจสอบได้ ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องกับกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งคลินิกที่น่าเชื่อถือจะช่วยให้คุณตัดความกังวลใจในเรื่องของการเจอฟิลเลอร์ปลอมไปได้เลย
__ - เลือกแพทย์ที่มีความชำนาญ และมีประสบการณ์สูง
แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ ต้องเป็นแพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ค้นคว้าหาเทคนิคใหม่ๆ และอัพเดทความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ แพทย์จะใช้เทคนิคที่ถูกต้อง เลือกรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะกับคุณที่สุด และฉีดออกมาได้เป็นธรรมชาติ เช็คชื่อแพทย์ก่อนตัดสินใจเพื่อความชัวร์ ซึ่งสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ผิวหนัง แพทย์เฉพาะทางได้ที่ เวปไซต์ของแพทย์สภาค่ะ
__ - เลือกฉีดฟิลเลอร์แท้เท่านั้น
เช็คให้แน่ใจกับแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้งว่าเป็นฟิลเลอร์แท้
__ - เลือกคลินิกที่มีบริการได้มาตรฐาน เดินทางสะดวก
หลังฉีดฟิลเลอร์ต้องมีนัดติดตามดูอาการ การเลือกคลินิกที่เดินทางสะดวก ใกล้บ้าน มีมาตรฐานการบริการที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ หากมีปัญหาฉุกเฉินก็สามารถติดต่อนัดหมาย หรือขอคำปรึกษาจากแพทย์ได้ทันที
____เลือกจากการศึกษาดูรีวิว จากผู้ที่เคยเข้ารับบริการที่คลินิกนั้นๆ หรือแพทย์คนนั้นๆ เลือกจากการดูผลงานที่ผ่านมา โดยเลือกดูจากหลายๆแหล่งที่มาทั้งจากทางคลินิกเอง และจากแหล่งรีวิวอื่นๆ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์
Q : มีโอกาสเกิดอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ได้มากน้อยแค่ไหน ?
A : โอกาสเกิดอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์มีน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย หากคุณฉีดฟิลเลอร์แท้ที่มีการนำเข้าอย่างถูกต้อง และฉีดโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญ ประสบการณ์สูง รวมถึงเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ โอกาสเกิดอันตรายจะเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม ฉีดกับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญเท่านั้น
Q : หลังฉีดฟิลเลอร์จะมีอาการบวมนานไหม สามารถออกไปใช้ชีวิตปรกติได้เลยไหม ?
A : โดยปรกติอาการบวมหลังจากฉีดฟิลเลอร์จะเกิดขึ้นได้ และอาการบวมจะค่อยๆหายไปเองประมาณไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ โดยแพทย์จะจ่ายยาลดปวด และลดบวมให้ด้วย ซึ่งคุณสามารถใช้ชีวิตปรกติได้เลย เพียงแค่ปฏิบัติตามคำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างเคร่งครัด แต่หากอาการบวมนั้นผิดปรกติ เช่น บวมนานเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการปวด แดง ร้อน ร่วมด้วย ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
Q : มีแพลนอยากจะทำเลเซอร์ และฉีดฟิลเลอร์ด้วย สามารถทำพร้อมกันได้ไหม ?
A : ไม่สามารถทำทั้งเลเซอร์ และฉีดฟิลเลอร์ไปพร้อมกันได้ในครั้งเดียว เลเซอร์จะทำให้เกิดความร้อนในชั้นผิวทำให้ฟิลเลอร์สลายไปอย่างรวดเร็ว หากมีการวางแผนจะทำเลเซอร์ด้วย ควรทำก่อนที่จะฉีดฟิลเลอร์ 3-5 วัน หรือทำหลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้ว 2 สัปดาห์ขึ้นไป หรือขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ค่ะ
Q : ฉีดฟิลเลอร์จมูกไปแล้ว สามารถเปลี่ยนใจไปทำศัลยกรรมเสริมจมูกได้ไหม ?
A : สามารถทำได้ โดยจะรอจนฟิลเลอร์สลายไปหมดตามระยะเวลาก็ได้ ซึ่งจะไม่นานเกิน 12-18 เดือน หรือจะใช้วิธีปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดสลายฟิลเลอร์ก็ได้ ซึ่งเมื่อฟิลเลอร์สลายไปหมดแล้ว ก็สามารถปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งในการทำศัลยกรรมเสริมจมูกได้โดยแจ้งศัลยแพทย์ก่อนทุกครั้งว่าเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนเพื่อการวางแผนการผ่าตัดที่ถูกต้อง
Q : มีเทคนิคที่จะทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้นไหม ?
A : ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์จะออกมาดี ส่วนหนึ่งต้องมาจากการดูแลตัวเองหลังฉีดที่ดีด้วย ซึ่งนอกจากจะต้องดื่มน้ำให้มากพอให้ฟิลเลอร์ดูดซับน้ำให้อิ่มฟูแล้ว การดูแลเรื่องอาหารการกินก็มีความสำคัญ หลังฉีดควรระวังเรื่องการติดเชื้อ และการอักเสบ งดการรับประทานอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ งดอาหารหมักดอง อาหารหวานจัด อาหารสุกๆดิบๆ รวมถึงงดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ด้วย
หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ
สามารถปรึกษาเราได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก
???? โทร.080-1539000 และ 080-1549000
???? Line@ : @Romrawinclinic